ถึงบางอ้อ! เปิดเหตุผล ทัพบกไม่อนุมัติขอเกราะ เพราะต้นเรื่องมาจากตชด.
“ต๊ะ นารากร” เปิดเอกสารชิ้นสำคัญ! เผยต้นทางแท้จริงของหนังสือขอรับแผ่นเกราะ 22 แผ่น จาก กองร้อย ตชด.22 จังหวัดศรีสะเกษ ผ่านมูลนิธิ กัน จอมพลัง – ปมดราม่าระอุเริ่มคลี่คลาย
กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วทั้งโลกออนไลน์กำลังจับตามอง สำหรับกรณี “มูลนิธิกัน จอมพลัง” ที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับหนังสือขอรับการสนับสนุน “แผ่นเกราะแข็งป้องกันกระสุน” ซึ่งก่อนหน้านี้มีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดระหว่างหลายฝ่าย ทั้งในสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดีย
จนล่าสุด (31 ตุลาคม 2568) ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง “ต๊ะ – นารากร ติยามน” ได้ออกมาเปิดเผย “เอกสารต้นทาง” ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ โดยเธอยืนยันว่ามีข้อมูลที่ตรวจสอบได้จริง พร้อมตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า “นี่ใช่หรือไม่ คือกระดาษแผ่นที่สังคมกำลังค้นหา?”
โพสต์ของ “ต๊ะ นารากร” ทำให้เรื่องราวที่กำลังคลุมเครือกลับมาถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางอีกครั้ง เพราะในเอกสารที่เธอนำมาเปิดเผยนั้น ระบุชัดเจนว่า หนังสือขอรับการสนับสนุนดังกล่าวมีที่มาจาก “กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 (ตชด.22) อำเภอกันทรักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ” ซึ่งเป็นหน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่หน่วยงานทางทหารอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ
🔹 จุดเริ่มต้นของดราม่า “แผ่นเกราะ 22 แผ่น”
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่ามีการร้องขอ “แผ่นเกราะกันกระสุนระดับ IV จำนวน 22 แผ่น” ผ่านมูลนิธิของ “กัน จอมพลัง” เพื่อใช้ในการสนับสนุนภารกิจในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งทำให้เกิดกระแสถกเถียงในสังคมว่า ใครกันแน่คือผู้ขอรับการสนับสนุนจริงๆ?
บางฝ่ายกล่าวอ้างว่าเป็นการ “ขอโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต้นสังกัด” ขณะที่อีกฝ่ายกลับยืนยันว่าทุกอย่างมีเอกสารชัดเจนและดำเนินการตามขั้นตอน จนเรื่องบานปลายกลายเป็นกระแสวิพากษ์ที่มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้ไม่เห็นด้วยอย่างดุเดือด
🔹 “ต๊ะ นารากร” เปิดหลักฐานชัด – เอกสารมีอยู่จริง ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2568
ผู้ประกาศข่าวชื่อดังได้เผยแพร่ภาพเอกสารทางราชการอย่างเป็นทางการ ระบุหัวเรื่องว่า “ขอรับการสนับสนุนแผ่นเกราะแข็งป้องกันกระสุน ระดับ IV” โดยในเนื้อหาของเอกสารนั้นมีรายละเอียดครบถ้วน ตั้งแต่หน่วยงานต้นทาง ไปจนถึงผู้รับปลายทางอย่างชัดเจน
ต้นทางของเอกสาร:
กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 (ตชด.22)
อำเภอกันทรักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
วันเดือนปีที่จัดทำ:
วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568
ปลายทาง:
จ่าหน้าถึง “กรรมการผู้จัดการมูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้”
โดยระบุว่า “ผ่านบริษัท อินโรสตาร์ จำกัด”
เนื้อหาในเอกสารระบุว่า หน่วยงานดังกล่าวได้รายงานถึงสถานการณ์ “ความไม่สงบในพื้นที่” ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยในช่วงเวลาดังกล่าวมีการปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงอันตราย ทำให้หน่วยงานต้องการขวัญกำลังใจและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันตนเอง จึงมีการทำหนังสือขอรับ “แผ่นเกราะแข็งป้องกันกระสุนระดับ IV จำนวน 22 แผ่น”
ผู้ลงนามในเอกสาร คือ “พันตำรวจเอก (ขอสงวนชื่อ)” ซึ่งดำรงตำแหน่ง “ผู้บังคับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22” โดยเอกสารฉบับนี้ได้ลงตราประทับและมีลายเซ็นรับรองอย่างถูกต้องตามระเบียบราชการ
🔹 การเปิดโปงเอกสารที่เปลี่ยนทิศทางของกระแส
หลังจาก “ต๊ะ นารากร” นำเอกสารดังกล่าวออกมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โพสต์ของเธอถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง มีทั้งสื่อกระแสหลักและเพจข่าวออนไลน์หลายแห่งหยิบไปนำเสนอ
ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแสดงความเห็นว่า “นี่คือจุดเปลี่ยนของคดี” เพราะเอกสารที่ “ต๊ะ” เปิดเผยนั้นช่วยยืนยันว่า หนังสือขอรับการสนับสนุนไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมูลนิธิ หรือบุคคลภายนอก แต่เป็นการร้องขอโดยตรงจากหน่วยงานราชการจริงๆ
หลายคนมองว่า เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ความเข้าใจคลาดเคลื่อน” ของสังคม ที่บางครั้งข่าวลือหรือการตัดต่อข้อมูลบางส่วนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลไหลเวียนรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย
🔹 ดราม่าก่อนหน้านี้: ใครกันแน่ที่ “ขอ” และใครคือ “ผู้ให้”?
ก่อนหน้าที่เอกสารนี้จะถูกเปิดเผย โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความสับสน หลายคนตั้งคำถามว่า “กัน จอมพลัง” มีอำนาจหรือสิทธิ์ในการรับเอกสารราชการลักษณะนี้หรือไม่ และทำไมถึงมีชื่อมูลนิธิปรากฏอยู่ในกระบวนการจัดส่ง
ขณะเดียวกัน ฝ่ายของ “กัน จอมพลัง” เองก็ออกมาโพสต์ชี้แจงหลายครั้ง โดยยืนยันว่ามูลนิธิของเขาเพียงเป็น “ตัวกลางในการประสานงานช่วยเหลือ” หน่วยงานในพื้นที่เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาผลประโยชน์หรือการแสวงหาชื่อเสียง
แต่เมื่อไม่มีหลักฐานทางเอกสารยืนยัน กระแสวิพากษ์ในสังคมจึงพุ่งตรงใส่ “มูลนิธิ” และทำให้เกิดความเข้าใจผิดเป็นวงกว้าง
🔹 เมื่อเอกสารปรากฏ – เสียงของสังคมเริ่มเปลี่ยน
หลังการเปิดเผยของ “ต๊ะ นารากร” ความเห็นในโซเชียลเริ่มเปลี่ยนทิศ หลายคนมองว่า “กัน จอมพลัง” อาจไม่ได้มีส่วนในการสร้างหนังสือปลอม อย่างที่เคยถูกกล่าวหา แต่กลับเป็นเพียงผู้ที่ถูกเข้าใจผิดจากความไม่ชัดเจนของข้อมูล
มีชาวเน็ตบางส่วนคอมเมนต์ว่า
“ในที่สุดก็มีหลักฐานจริงออกมา สังคมต้องฟังทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสิน”
“คุณต๊ะทำหน้าที่สื่อมวลชนได้ดีมาก ช่วยให้เห็นความจริงในมุมที่คนทั่วไปอาจไม่รู้”
“ขอบคุณที่กล้าเปิดเอกสาร เพราะถ้าไม่มีใครกล้าพูด ความเข้าใจผิดคงไม่จบ”
🔹 วิเคราะห์: ทำไม “เอกสารราชการ” ถึงสำคัญในประเด็นนี้
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เอกสารราชการที่มีตราประทับและลายเซ็นผู้บังคับบัญชา ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในการยืนยันความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากเป็นเอกสารที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน ทั้งการออกเลขหนังสือ การลงทะเบียน และการรับส่งระหว่างหน่วยงาน
ดังนั้น เมื่อมีการเปิดเผยเอกสารฉบับนี้ จึงช่วยคลี่คลายความสงสัยที่คาราคาซังมาหลายวัน และยังเป็นการตอกย้ำว่าข้อมูลทางราชการต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนเผยแพร่ในสื่อสาธารณะ
🔹 บทบาทของ “ต๊ะ นารากร” ในฐานะสื่อมวลชน
การที่ “ต๊ะ นารากร” ซึ่งเป็นอดีตผู้ประกาศข่าวระดับแนวหน้าออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ถือเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง เพราะเธอมักจะเลือกพูดเฉพาะเรื่องที่มีข้อมูลจริงและสามารถตรวจสอบได้เท่านั้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “ต๊ะ” เป็นที่รู้จักในฐานะนักสื่อสารที่ยึดมั่นในจรรยาบรรณสื่อ เธอไม่รีบโพสต์ข่าวโดยไม่มีหลักฐาน และครั้งนี้ก็เช่นกัน การเปิดเอกสารที่เธอระบุว่า “มีอยู่จริง” ไม่เพียงสร้างแรงกระเพื่อมในโลกออนไลน์ แต่ยังทำให้สื่ออื่นๆ ต้องหันกลับมาทบทวนวิธีการนำเสนอข่าวในยุคที่ข้อมูลสามารถบิดเบือนง่าย
🔹 เสียงสะท้อนจากวงการข่าว
หลังโพสต์ของ “ต๊ะ นารากร” ถูกเผยแพร่ออกไป มีผู้สื่อข่าวหลายคนออกมาแสดงความเห็นว่า นี่คือ “ตัวอย่างของการทำข่าวเชิงตรวจสอบที่แท้จริง” เพราะไม่เพียงแค่รายงานตามกระแส แต่ยังตามหาหลักฐานจนเจอความจริง
บางสำนักข่าวถึงกับยอมรับว่า เอกสารที่ “ต๊ะ” เปิดเผยนั้นช่วยให้พวกเขาเข้าใจภาพรวมของเหตุการณ์ได้ดีกว่าเดิม และเตรียมจะทำข่าวต่อยอดในเชิงลึกเกี่ยวกับ “ระบบการขอรับการสนับสนุนจากมูลนิธิเอกชนต่อหน่วยงานราชการ” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้อีก
🔹 ประชาชนได้อะไรจากกรณีนี้?
กรณี “แผ่นเกราะ 22 แผ่น” นอกจากจะเป็นข่าวดังแล้ว ยังเป็นบทเรียนสำคัญของสังคมในยุคข้อมูลข่าวสาร เพราะแสดงให้เห็นว่า “ข่าวปลอม” และ “ความเข้าใจผิด” สามารถทำลายชื่อเสียงของคนได้ในพริบตา หากไม่มีการตรวจสอบให้รอบด้าน
นอกจากนี้ยังตอกย้ำบทบาทของสื่อมวลชนในยุคดิจิทัล ว่า “ความรับผิดชอบต่อข้อมูล” สำคัญไม่แพ้ “ความเร็วในการรายงานข่าว” เพราะเพียงโพสต์เดียวสามารถสร้างกระแสทั้งประเทศได้
🔹 บทสรุป: ปมเริ่มคลี่คลาย แต่ยังไม่จบ
แม้การเปิดเผยของ “ต๊ะ นารากร” จะช่วยให้สังคมเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่า เอกสารขอรับแผ่นเกราะมีอยู่จริง และมีต้นทางจากหน่วยงานของรัฐ แต่คดีนี้อาจยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องตรวจสอบต่อไป เช่น การดำเนินการของมูลนิธิในกระบวนการจัดส่ง การอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนการใช้เงินบริจาค
อย่างไรก็ตาม การที่สังคมได้เห็นความจริงจากหลักฐานทางราชการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยุติความสับสน และอาจช่วยให้ทุกฝ่ายกลับมาพูดคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่าความรู้สึก
🔹 สรุปภาพรวมเหตุการณ์ (Timeline)
24-28 กรกฎาคม 2568: เกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนศรีสะเกษ
19 สิงหาคม 2568: กองร้อย ตชด.22 ทำหนังสือขอรับการสนับสนุนแผ่นเกราะ 22 แผ่น ผ่านมูลนิธิ กัน จอมพลัง
ปลายตุลาคม 2568: มีดราม่าขึ้นในโลกออนไลน์ กล่าวหามูลนิธิสร้างหนังสือปลอม
31 ตุลาคม 2568: “ต๊ะ นารากร” เปิดเอกสารต้นทาง ยืนยันว่าเอกสารมีอยู่จริงจาก ตชด.22
หลังเผยแพร่: สังคมเริ่มเข้าใจภาพรวมมากขึ้น กระแสโจมตีมูลนิธิลดลง
🔹 คำกล่าวปิดท้ายจาก “ต๊ะ นารากร”
ในโพสต์ของเธอได้ทิ้งท้ายไว้เพียงสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งว่า
“สื่อมีหน้าที่หาความจริง ไม่ใช่ขยายความเท็จ เพราะความจริงจะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของทุกคน”
📰 สรุป:
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสังคมยุคดิจิทัล แต่ยังยืนยันอีกครั้งว่า “ข้อเท็จจริง” คือสิ่งสำคัญที่สุดในการสื่อสาร และ “เอกสาร” คือหลักฐานที่ไม่มีใครสามารถบิดเบือนได้
เมื่อความจริงเริ่มปรากฏ ดราม่าก็เริ่มคลี่คลาย และสิ่งที่เหลืออยู่คือบทเรียนอันมีค่าที่สังคมไทยควรจดจำ
ราชกิจจาฯ เผยแพร่ คำสั่งศาลให้ นักแสดงรุ่นใหญ่ “มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช” ผู้จัดดัง เป็นคนไร้ความสามารถ
พาส่องธุรกิจ ของคุณนานา ไรบีนา ที่หลายคนยังไม่เคยรู้
ชายชาวเท็กซัส 2 คน ถูกจับหลัง วางแผนบุกยึดเกาะ เพื่อฆ่าข่มขืนคนทั้งเกาะ
เด็ก 15 ถูกเพื่อนร่วมงานรุมแกล้ง สอดสายยางเข้ารูก้น แล้วอัดลมเข้าจนตาย
ทำไม่คนขับรถบัสต้องถอยหลังขึ้นเนินสุดโหดถั่มมา'แทนที่จะขับไปข้างหน้ารู้เหตุผลยิ่งชื่นชมโชเฟอร์สุดยอดมากๆ
ไฟไหม้ระทึก!รถพ่วงเทรลเลอร์ 18 ล้อ ยางระเบิดบึ้มไฟลุกไหม้หวิดวอดทั้งคัน



