“เต้ มงคลกิตติ์” เดือดจัด! โพสต์ถึง “กัน จอมพลัง” หลังรู้ความจริง ปมดราม่าที่หลายคนจับตา
🔥 “เต้ มงคลกิตติ์” ลั่นแรง! ขอเงินคืนจาก “มูลนิธิกัน จอมพลัง” หลังพบข้อมูลไม่ตรง – ขอนำเงินไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมแทน เผยชัด “ถ้าคุณกันเป็นประธานเอง ผมจะไม่ขอคืน!”
กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ เมื่อ “เต้ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” อดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มักออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องสังคมและความเป็นธรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ประกาศอย่างชัดเจนว่า ขอเงินคืนจาก “มูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้” หลังพบว่า “ข้อมูลที่ได้รับไม่ตรงกับความจริงที่เข้าใจไว้ตอนแรก”
โพสต์ของ “เต้ มงคลกิตติ์” ดังกล่าว ได้สร้างกระแสฮือฮาในโลกโซเชียลอย่างรวดเร็ว เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยแสดงเจตนาชัดเจนว่า “ต้องการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม” ของ “กัน จอมพลัง” และได้ร่วมบริจาคเงินด้วยความศรัทธา แต่เมื่อพบความไม่ชัดเจนในบางประเด็นเกี่ยวกับมูลนิธิ จึงตัดสินใจขอเงินบริจาคจำนวน 5,000 บาท คืน เพื่อจะนำไปใช้ในกิจกรรมช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจาก ภัยน้ำท่วม แทน
💬 จุดเริ่มต้นของการบริจาค: “เต้ มงคลกิตติ์” ตั้งใจช่วยงานเพื่อสังคม
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 เต้ มงคลกิตติ์ได้โพสต์แจ้งว่า ตนได้โอนเงินจำนวน 5,000 บาท ให้กับ “คุณกัน จอมพลัง” เพื่อสนับสนุนการจัดซื้อ ตู้คอนเทนเนอร์กั้นแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ “กัน จอมพลัง” เคยพูดถึงในฐานะงานเพื่อสนับสนุนทหารชายแดน
ในตอนนั้น เต้ระบุว่า เขามีความเชื่อมั่นในตัว “กัน จอมพลัง” เพราะเห็นว่าเป็นคนทำงานเพื่อสังคม และเป็นนักเคลื่อนไหวที่มีความตั้งใจจริง จึงร่วมบริจาคโดยไม่ได้ลังเล พร้อมโพสต์ข้อความแนบสลิปการโอนเงินอย่างเปิดเผย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นร่วมช่วยกันทำความดี
แต่แล้ว เรื่องราวกลับพลิกเมื่อเขาได้รับข้อมูลใหม่ที่ทำให้รู้ว่า “กัน จอมพลัง” ไม่ได้เป็นประธานมูลนิธิอย่างที่เข้าใจในตอนแรก ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้ทั้งหมด
⚠️ “ข้อมูลไม่ตรงกับที่เข้าใจ” – เต้ตัดสินใจขอเงินคืน
ในโพสต์ล่าสุดของเขาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เต้ มงคลกิตติ์ ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า
“เดิมผมตั้งใจสนับสนุน โอนให้คุณกัน จอมพลังตัวจริง ไปช่วยซื้อตู้คอนเทนเนอร์กั้นชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 68 จำนวน 5,000 บาท โดยคิดว่าคุณกันเป็นประธานมูลนิธิ จึงเชื่อใจและสนับสนุนไป แต่เมื่อมาทราบภายหลังว่าคุณกันไม่ใช่ประธานมูลนิธิ จึงขออนุญาตขอเงินคืนจากมูลนิธิครับ”
เขายังกล่าวต่อว่า หากกันเป็นประธานมูลนิธิจริง ๆ เขาจะไม่ขอเงินคืนแน่นอน เพราะมีความศรัทธาในตัวกันในฐานะคนทำงานเพื่อประชาชน แต่ในเมื่อข้อมูลเปลี่ยนไป เขาต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส
“ปัจจุบันผมยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคุณกันจะมาดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิหรือไม่ ดังนั้น ผมจะขอเงินคืนจากมูลนิธิ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าในตอนนี้”
💧 ตั้งใจนำเงินไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม
เต้ มงคลกิตติ์ยังระบุอย่างละเอียดถึงแผนการใช้เงิน 5,000 บาทที่ขอคืนมานี้ว่า เขาจะนำไปจัดซื้อ “ข้าว กล่อง กับข้าว และน้ำดื่ม” จำนวนประมาณ 200 ชุด เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในพื้นที่ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่กำลังประสบอุทกภัยอย่างหนัก
“ผมเห็นข่าวน้ำท่วมอยุธยาหนักมาก หลายหมู่บ้านอยู่ในน้ำมาเกือบเดือน การช่วยตรงนี้จะมีประโยชน์โดยตรงกับประชาชนมากกว่า ผมไม่ได้อยากสร้างกระแส แต่อยากให้ทุกบาทที่ออกจากกระเป๋า ได้ไปอยู่ในมือของคนที่เดือดร้อนจริง ๆ”
คำพูดของเต้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ยึดมั่นเรื่อง การใช้เงินบริจาคอย่างตรงจุด ซึ่งเขาเองก็เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มักย้ำว่า “การทำความดี ต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้เสมอ”
💣 โซเชียลเดือดอีกระลอก! หลัง “เต้ มงคลกิตติ์” โพสต์
หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป โลกออนไลน์แทบลุกเป็นไฟ โดยมีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงตั้งคำถาม
ฝั่งที่เห็นด้วยกับเต้ มองว่า เขาทำถูกแล้วที่ออกมาทวงถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะในฐานะบุคคลสาธารณะ การบริจาคเงินต้องโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า เต้อาจจะรีบไปหน่อย และควรรอให้ทางมูลนิธิชี้แจงก่อน เพราะเรื่องนี้อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิด
อย่างไรก็ตาม โพสต์ของเขาได้ถูกแชร์ออกไปกว่าสามหมื่นครั้งภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง พร้อมติดแฮชแท็ก #เต้มงคลกิตติ์ขอคืนเงิน และ #มูลนิธิกันจอมพลัง ติดเทรนด์ในโลก X (ทวิตเตอร์เดิม)
🧾 ย้อนดูประเด็น “มูลนิธิกัน จอมพลัง” ที่ถูกพูดถึงก่อนหน้านี้
กรณีนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากกระแสข่าวใหญ่ก่อนหน้าไม่กี่วัน นั่นคือดราม่าระหว่าง “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” กับ “กัน จอมพลัง” ที่กลายเป็นเรื่องร้อนระดับประเทศ หลังณวัฒน์ออกมา “ทวงเงินบริจาคคืน” จำนวน 100,000 บาท จากมูลนิธิเดียวกัน
ณวัฒน์ให้เหตุผลคล้ายกับเต้ คือ “ได้รับข้อมูลไม่ตรงกับความจริง” โดยเฉพาะในข้อบังคับของมูลนิธิที่ระบุว่า “หากมูลนิธิถูกยุบ ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของมูลนิธิ ธรรมนัส พรหมเผ่า” ทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่สบายใจและต้องการให้คืนเงิน
เรื่องนั้นเพิ่งจะสงบลงได้ไม่กี่วัน ก็เกิดกรณีของ “เต้ มงคลกิตติ์” ตามมาติด ๆ ทำให้ชื่อของ “มูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้” ถูกจับตาอย่างหนัก และมีการเรียกร้องให้ผู้บริหารออกมาชี้แจงความชัดเจนต่อสาธารณะ
🗣️ เต้ย้ำ “ผมไม่ได้มีปัญหากับกัน แต่ต้องเคลียร์ให้ถูก”
แม้โพสต์ของเต้จะถูกตีความไปหลายทิศทาง แต่เจ้าตัวก็ออกมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับผู้สื่อข่าวในวันเดียวกัน โดยย้ำว่า ตนไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับ “กัน จอมพลัง” แต่อย่างใด
“ผมกับคุณกันรู้จักกันมานาน เคยร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมหลายครั้ง ผมเคารพเขาในฐานะคนทำงานเพื่อประชาชน แต่ในกรณีนี้ ผมขอแค่ให้เคลียร์ให้ถูกต้อง ว่าเงินผมบริจาคเข้าไปในมูลนิธิที่ใครดูแลแน่ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย”
เขายังกล่าวอีกว่า “ไม่อยากให้สังคมมองว่าเรื่องนี้เป็นดราม่า” แต่ควรถือเป็นบทเรียนในการทำงานร่วมกันระหว่างภาคประชาชนและองค์กรการกุศล
💬 เสียงจากชาวเน็ต: “โปร่งใสคือสิ่งสำคัญที่สุด”
หลังจากเรื่องนี้เผยแพร่ไปในวงกว้าง ชาวเน็ตจำนวนมากได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างคึกคัก หลายคนมองว่า “เต้ มงคลกิตติ์” เป็นตัวอย่างของคนที่กล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะการบริจาคแม้เพียงหลักพัน ก็มีความหมายมาก หากไม่ได้ใช้ไปในทางที่ถูกต้อง
ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งคอมเมนต์ว่า
“ไม่ว่าจะเป็น 5 พันหรือ 5 ล้าน เงินบริจาคคือเงินศรัทธา ถ้าองค์กรไม่โปร่งใสก็ต้องคืนให้คนบริจาคเป็นเรื่องธรรมดา”
อีกคนกล่าวว่า
“เต้ทำถูกแล้วครับ การบริจาคคือความสมัครใจ แต่ความเชื่อใจต้องแลกมาด้วยความชัดเจน ไม่ใช่คลุมเครือแบบนี้”
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางส่วนที่มองต่าง บอกว่าเรื่องนี้อาจเกิดจาก “ความเข้าใจผิด” และหวังให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันตรง ๆ โดยไม่ต้องผ่านโซเชียล
⚖️ มุมมองทางกฎหมาย: การขอคืนเงินบริจาคทำได้หรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายบางรายได้ออกมาอธิบายเพิ่มเติมว่า โดยหลักแล้ว “เงินบริจาค” เมื่อได้โอนให้มูลนิธิอย่างถูกต้องแล้ว จะถือเป็น การสละสิทธิ์โดยเสน่หา ซึ่งตามกฎหมายโดยทั่วไป “ไม่สามารถเรียกคืนได้” เว้นแต่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น
มูลนิธินำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
มีการแสดงข้อความเท็จเพื่อหลอกลวงให้บริจาค
หรือองค์กรนั้นไม่มีตัวตนทางกฎหมาย
ดังนั้น ในกรณีนี้ หากมูลนิธิ “กัน จอมพลังช่วยสู้” ยังไม่ถูกต้องตามขั้นตอน หรือมีข้อมูลไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ ก็อาจเข้าข่ายที่ผู้บริจาคมีสิทธิ์ขอคืนเงินได้ตามกฎหมาย
🌊 จากเงิน 5,000 บาท สู่ประเด็นสะท้อน “ศรัทธาในสังคมไทย”
แม้เงินจำนวน 5,000 บาทอาจไม่มากในสายตาบางคน แต่สิ่งที่ “เต้ มงคลกิตติ์” ทำกำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของ การตรวจสอบความโปร่งใสในองค์กรการกุศล
เพราะในช่วงหลัง มีหลายกรณีที่มูลนิธิหรือกลุ่มการกุศลต่าง ๆ ถูกตั้งคำถามเรื่องการใช้เงินบริจาค การบริหารจัดการ และความชัดเจนของคณะกรรมการบริหาร ซึ่งทำให้ประชาชนเริ่มระมัดระวังมากขึ้น
ดราม่านี้จึงไม่ได้เป็นแค่เรื่อง “ขอคืนเงิน” แต่เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ศรัทธาของประชาชนคือสิ่งที่ต้องรักษาไว้ด้วยความโปร่งใสที่สุด
🧭 บทสรุป
ดราม่าระหว่าง “เต้ มงคลกิตติ์” และ “มูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้” อาจจะดูเป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ แต่กลับสะท้อนความจริงอันสำคัญในสังคมไทย ว่า ความไว้วางใจไม่สามารถซื้อได้ด้วยคำพูด
“เต้” แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของคนที่อยากทำความดีด้วยความโปร่งใส และพร้อมจะถอนการสนับสนุนเมื่อพบความไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรได้รับการยกย่องในฐานะพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
ในอีกมุมหนึ่ง กรณีนี้ก็อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ “มูลนิธิกัน จอมพลัง” และองค์กรการกุศลอื่น ๆ หันกลับมาทบทวนการทำงานอย่างจริงจัง ว่าควรปรับปรุงระบบบริหาร ความโปร่งใส และการสื่อสารกับประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกการบริจาคเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง
“เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ความเชื่อใจที่แนบมากับเงินทุกบาทต่างหาก ที่มีค่ามากกว่า”— เต้ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
นาซายืนยัน โลกมีดวงจันทร์ที่ 2
การตามหาแร่ธาตุหายาก ระหว่างไทย-สหรัฐ ฯ
ยังไม่จบ! ดราม่า “Alphard ค้างอู่” เจ้าของโพสต์แซ่บ ประกาศจะตามหาคนหายด้วยตัวเอง
ปิดฉากดราม่า! “ครูเต้ย – ขนม ศศิ กานต์” เคลียร์ทุกอย่าง จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตร 10 ล้าน ไม่ต้องมีใบเสร็จ
“ณวัฒน์” เดือด! ซัดแรง “ไอโอช่วยกัน จอมพลัง” ปั่นข่าว “ลิซ่าให้ 3 ล้าน” เตรียมแจ้งความเพียบ
“ดัง พันกร” แจงแล้ว! เหตุเลื่อนคอนเสิร์ตต้นปีหน้า ไม่ใช่เพราะขายบัตรไม่หมดอย่างที่ลือ



