"วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112" เมื่อสยามต้องเผชิญหน้ามหาอำนาจ
"วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112" เมื่อสยามต้องเผชิญหน้ามหาอำนาจ
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 คืออะไร?
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 คือเหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างราชอาณาจักรสยามกับฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2436 (หรือ รัตนโกสินทรศก 112) ซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับสากลว่า Franco-Siamese War ต้นเหตุสำคัญของวิกฤตการณ์ครั้งนี้มาจากการที่ฝรั่งเศสอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศลาว
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ความขัดแย้งบานปลายคือ นายโอกุสต์ ปาวี รองกงสุลฝรั่งเศสประจำนครหลวงพระบาง เขาเป็นหัวหอกในการแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ฝรั่งเศส โดยอาศัยจังหวะที่สยามกำลังเผชิญกับจุดอ่อนนานัปการ ทั้งความยากลำบากในการดูแลหัวเมืองชายแดนอันห่างไกล ประกอบกับความวุ่นวายในภูมิภาค ทั้งการก่อกบฏในเวียดนาม และภารกิจปราบปรามกองกำลังฮ่อซึ่งแตกพ่ายมาจากเหตุการณ์กบฏไท่ผิงในจีน ปัจจัยเหล่านี้ได้เปิดช่องให้ปาวีสามารถขยายอิทธิพลและสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การเผชิญหน้าในที่สุด
แต่ก่อนจะไปถึงจุดแตกหัก เราต้องย้อนกลับไปดูบริบทการแข่งขันของมหาอำนาจในยุคนั้นเสียก่อน
ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง: การขยายอิทธิพลของฝรั่งเศส
ในยุคล่าอาณานิคม ชาติตะวันตกต่างแข่งขันกันขยายอิทธิพลในอินโดจีน โดยมีฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นคู่แข่งรายสำคัญ ในขณะที่อังกฤษสามารถครอบครองพม่าได้เกือบทั้งหมด สยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ก็ตระหนักถึงภัยคุกคามที่ขยับเข้ามาใกล้ ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล สยามจึงดำเนินนโยบายฟื้นฟูความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษ
การฟื้นฟูความสัมพันธ์เริ่มต้นอย่างเป็นทางการด้วยการทำ สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2399 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนจะราบรื่น
แม้ความสัมพันธ์จะเริ่มต้นด้วยดี แต่เมื่อผลประโยชน์เรื่องดินแดนเข้ามาเกี่ยวข้อง ความตึงเครียดจึงเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย
ชนวนเหตุปะทะ: ความตึงเครียด ณ ชายแดน
ความขัดแย้งส่วนใหญ่มีต้นตอมาจากการที่สยามและฝรั่งเศสขาดข้อตกลงเรื่องเขตแดนที่ชัดเจน ทำให้เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดนบ่อยครั้ง ฝรั่งเศสภายใต้การชี้นำของปาวี ได้ใช้เหตุการณ์กระทบกระทั่งตามชายแดนเป็นเครื่องมือสร้างแรงกดดันอย่างเป็นระบบ โดยแต่ละกรณีพิพาทถูกขยายผลเพื่อบั่นทอนอำนาจอธิปไตยของสยามทีละน้อย เหตุการณ์ที่เป็นชนวนสำคัญ 3 กรณี ได้แก่
|
กรณีพิพาท |
สรุปเหตุการณ์ |
ความสำคัญ/ผลลัพธ์ |
|
กรณีบางเบียน |
ฝรั่งเศสแต่งตั้ง "บางเบียน" ซึ่งเป็นคนลาว ให้เป็นเจ้าหน้าที่ปกครองในพื้นที่ทุ่งเชียงคำซึ่งสยามอ้างสิทธิ์อยู่ ฝ่ายไทยจึงเข้าจับกุมตัวไว้ในข้อหากบฏ |
ฝรั่งเศส (โดยนายโอกุสต์ ปาวี) เรียกร้องให้ปล่อยตัว เป็นการทดสอบอำนาจอธิปไตยของสยามโดยตรง และสร้างความตึงเครียดทางการทูต |
|
กรณีเมืองท่าอุเทน |
พ่อค้าฝรั่งเศส 2 คนละเมิดสนธิสัญญาโดยการค้าของเถื่อนและเดินทางในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต รัฐบาลไทยจึงจับกุมและเนรเทศ |
ฝรั่งเศสใช้เป็นข้ออ้างว่าสยามปฏิเสธอธิปไตยของตนเหนือดินแดนลาว และเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลฝรั่งเศสที่ปารีสเรียกร้องสิทธิ์เหนือดินแดนลาวอย่างจริงจัง |
|
การตายของมาสสี่ |
นายมาสสี่ เจ้าหน้าที่สถานกงสุลฝรั่งเศสได้ฆ่าตัวตาย แต่ข้าราชการอาณานิคมฝรั่งเศสกลับใช้การตายนี้ให้เป็นประโยชน์ |
ถูกบิดเบือนและใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อผลักดันให้รัฐบาลฝรั่งเศสใช้มาตรการทางทหารและการทูตที่เด็ดขาดกับสยาม |
จากความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ตามชายแดน ในที่สุดฝรั่งเศสก็ตัดสินใจใช้กำลังทหารเพื่อบีบบังคับสยามให้ถึงที่สุดวิกฤตการณ์ปากน้ำ: เสียงปืนที่ดังลั่นถึงพระนคร
ความตึงเครียดมาถึงจุดเดือดในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2436 เมื่อฝรั่งเศสตัดสินใจใช้ "นโยบายเรือปืน" (Gunboat Policy) เพื่อข่มขู่สยาม ลำดับเหตุการณ์สำคัญมีดังนี้
การกดดันเบื้องต้น: ฝรั่งเศสส่งเรือรบ เลอ ลูแตง เข้ามาจอดทอดสมออยู่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อรอคำตอบจากรัฐบาลสยาม
การตอบโต้ของสยาม: ฝ่ายไทยเร่งเตรียมการป้องกันปากน้ำและพระนครอย่างเต็มกำลัง มีการสร้าง ป้อมพระจุลจอมเกล้า ที่แหลมฟ้าผ่า พร้อมทั้งพยายามขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
คำขู่ที่กลายเป็นจริง (8 กรกฎาคม): รัฐบาลฝรั่งเศสแจ้งอย่างเป็นทางการว่า ผู้การโบรีจะนำเรือปืน แองกงสตอง และเรือ โกแมต เข้ามายังกรุงเทพฯ ซึ่งฝ่ายไทยได้คัดค้านอย่างหนักแน่นว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญา
การละเมิดอธิปไตย (11 กรกฎาคม): เรือรบทั้งสองลำของฝรั่งเศสเพิกเฉยต่อคำทัดทาน มุ่งหน้าฝ่าเข้ามายังปากน้ำเจ้าพระยา ถือเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของสยามอย่างอุกอาจ
การปะทะที่ปากน้ำ: เสียงปืนใหญ่จากป้อมพระจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทรก็ดังกึกก้องไปทั่วปากน้ำ เมื่อทหารสยามระดมยิงเพื่อหยุดยั้งการรุกล้ำอธิปไตย แม้จะสร้างความเสียหายให้เรือฝรั่งเศสได้ แต่ในที่สุดเรือรบทั้งสองลำก็สามารถฝ่าแนวป้องกันเข้าไปจอดเทียบท่าหน้าสถานทูตฝรั่งเศสกลางพระนครได้สำเร็จ
การมาถึงของเรือปืนกลางพระนคร คือจุดเริ่มต้นของการยื่นคำขาดที่สยามแทบไม่มีทางเลือก
คำขาดจากเรือปืน: เมื่อสยามต้องยอมจำนน
ภายใต้เงาปืนใหญ่ของเรือรบฝรั่งเศสที่จอดทอดสมออยู่กลางลำน้ำเจ้าพระยา รัฐบาลสยามก็ได้รับ "คำขาด" อันไร้ทางต่อรอง ซึ่งแต่ละข้อล้วนบีบคั้นให้ต้องเลือกระหว่างอธิปไตยกับความอยู่รอดของชาติ โดยมีข้อเรียกร้อง 5 ข้อหลัก ดังนี้
• สละสิทธิ์เหนือดินแดน: ให้สยามเพิกถอนสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงและเกาะต่างๆ ทั้งหมด
• รื้อถอนด่าน: ให้รื้อถอนด่านของสยามบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้เสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน
• จัดการปัญหาความขัดแย้ง: ให้ไทยจัดการปัญหาทุ่งเชียงคำ เมืองคำพวน และชดใช้ความเสียหายที่เรือรบฝรั่งเศสและชาวฝรั่งเศสได้รับจากการปะทะกัน
• ลงโทษเจ้าหน้าที่: ให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่รับผิดชอบการยิงต่อสู้ที่ปากน้ำ
• จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม: ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 2 ล้านฟรังก์
ในตอนแรก ฝ่ายไทยยอมรับข้อเรียกร้องเกือบทั้งหมด แต่ปฏิเสธที่จะยอมรับข้อ 1 เรื่องการสละสิทธิ์เหนือดินแดน ทำให้ฝรั่งเศสไม่พอใจและตอบโต้ด้วยการ ปิดอ่าวไทย ซึ่งเป็นการบีบบังคับทางยุทธศาสตร์ที่รุนแรง การกระทำดังกล่าวไม่เพียงตัดขาดเส้นทางการค้าที่สำคัญ แต่ยังเป็นการปิดกั้นสยามจากโลกภายนอก ทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยวและจำยอม
เมื่อถูกบีบคั้นจนไร้ทางออก สยามจำต้องยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด แต่ฝรั่งเศสยังยื่นเงื่อนไขเพิ่มเติมที่รุนแรงขึ้นไปอีก คือการเข้ายึด เมืองจันทบุรี ไว้เป็นประกัน และบังคับให้สยามต้องตั้งเขตปลอดทหารในพื้นที่เมืองพระตะบองและเสียมราฐ รวมถึงในรัศมี 25 กิโลเมตรบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง
แม้การสู้รบจะยุติลง แต่วิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ทิ้งบาดแผลและภาระผูกพันที่ยืดเยื้อต่อไปอีกนับสิบปี
ผลพวงแห่งความพ่ายแพ้: การสูญเสียและสิ่งที่ตามมา
จากการลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 สยามต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยต้องยกดินแดนราชอาณาจักรลาวเกือบทั้งหมดและสิบสองจูไทยให้แก่ฝรั่งเศส คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 143,800 ตารางกิโลเมตร และพลเมืองราว 600,000 คน
แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปัญหา ยังมีเหตุการณ์ยืดเยื้อที่สะท้อนถึงการแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของสยามตามมาอีกหลายกรณี เช่น
คดีพระยอดเมืองขวาง: พระยอดเมืองขวาง ข้าหลวงไทยผู้นำกำลังต่อสู้กับทหารฝรั่งเศสที่เมืองคำมวน จนมีทหารฝรั่งเศสและทหารญวนเสียชีวิต 13 นาย และฝ่ายไทยเสียชีวิต 6 นาย ถูกฝรั่งเศสกดดันอย่างหนักให้ต้องขึ้นศาล ตอนแรก "ศาลรับสั่งพิเศษ" ของไทยตัดสินว่าท่านไม่ผิดเพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ฝรั่งเศสไม่พอใจและบีบบังคับให้ตั้ง "ศาลผสม" (ฝรั่งเศส-ไทย) ขึ้นพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งท้ายที่สุดได้กลับคำตัดสินและลงโทษจำคุกท่านเป็นเวลา 20 ปี
การยึดครองจันทบุรี: แม้ไทยจะปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว แต่ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี และใช้เป็นข้อต่อรองเพื่อบีบบังคับให้ไทยต้องยอมทำสัญญาเพิ่มเติมที่เสียเปรียบยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต
การสูญเสียดินแดนครั้งนี้สร้างความเจ็บปวดพระราชหฤทัยอย่างใหญ่หลวงแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังที่ทรงมีพระราชปรารภว่า การเสียดินแดนเปรียบเหมือน "การเสียปลายนิ้วของเราไป ยังไกลอยู่ รักษาหัวใจกับตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน" ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้
วิกฤตการณ์ที่เริ่มต้นในปี ร.ศ. 112 ได้เดินทางมาถึงบทสรุปในอีกเกือบ 14 ปีต่อมา ซึ่งได้มอบบทเรียนครั้งสำคัญให้แก่สยามมรดกแห่ง ร.ศ. 112
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงด้วยการลงนามใน "หนังสือสัญญาไทย - ฝรั่งเศส พ.ศ. 2449" ซึ่งเป็นผลจากการเจรจาที่ยืดเยื้อและซับซ้อนมาเกือบ 14 ปี ก่อนหน้านั้น ในปี พ.ศ. 2447 สยามจำต้องยอมยกดินแดนหลวงพระบางฝั่งขวาและจำปาศักดิ์ เพื่อแลกกับการที่ฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี (แต่กลับย้ายไปยึดเมืองตราดแทน) จนกระทั่งสนธิสัญญาฉบับสุดท้ายได้ยุติปัญหาทั้งหมดลง
|
ฝ่ายสยาม |
ฝ่ายฝรั่งเศส |
|
เสีย: เมืองพระตะบอง, เสียมราฐ, และศรีโสภณ |
คืน: เมืองด่านซ้าย, เมืองตราด, และเกาะใต้แหลมสิงห์จนถึงเกาะกุด |
แม้ผลที่ออกมา ทั้งสองฝ่ายจะเห็นตรงกันว่า "ฝรั่งเศสได้มากกว่าเสีย และไทยเสียมากกว่าได้" แต่สำหรับรัฐบาลสยามแล้ว การที่ฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยทั้งหมด ถือเป็นชัยชนะทางการทูตที่สำคัญ เพราะทำให้ประเทศกลับมามีความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงอีกครั้ง และถือเป็นการสิ้นสุดลัทธิจักรวรรดินิยมจากฝรั่งเศสที่มีต่อสยามอย่างเป็นทางการ
อ้างอิงจาก: กรุงเทพฯ ร.ศ. 112 บรรยายสภาพเหตุการณ์ สังคม และความรู้สึกของผู้คนในกรุงเทพฯ ช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตกอย่างใกล้ชิด, 14 ครั้งกับการเสียดินแดน: ประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้ แม้จะครอบคลุมการเสียดินแดนหลายครั้ง แต่เหตุการณ์ ร.ศ. 112 ถือเป็นการเสียดินแดนครั้งสำคัญที่สุดในรัชกาลที่ 5 และมักจะถูกบรรจุเป็นเนื้อหาหลัก เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบของการเสียดินแดนในแต่ละช่วง, พระราชหัตถเลขา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นเอกสารชั้นต้นที่สำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาเหตุการณ์ โดยเฉพาะพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (รัชกาลที่ 6) ซึ่งแสดงถึงพระราชหฤทัยที่ทรงโทมนัสและข้อจำกัดในการรักษาเอกราชในช่วงวิกฤต
ทึ่งทั่วโลก : ตำหนักไท่เหอเตี้ยน จุดที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีทรงถ่ายพระบรมฉายาลักษณ์
ราชกิจจาฯ เผยแพร่ คำสั่งศาลให้ นักแสดงรุ่นใหญ่ “มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช” ผู้จัดดัง เป็นคนไร้ความสามารถ
ทำไมเราถึงเรียกเมนูเนื้อย่างแบบหนึ่งว่า "เสือร้องไห้" ทั้งๆ ที่เมนูนี้ทำมาจากเนื้อวัว
เมื่อเกาะฟูก๊วก กลายเป็น“กำแพงธรรมชาติ” กั้นทางออกสู่ทะเลของประเทศกัมพูชา
พาส่องธุรกิจ ของคุณนานา ไรบีนา ที่หลายคนยังไม่เคยรู้
นิสัยการกินแบบนี้แสดงว่าเริ่มแก่ สัญญาณการกิน ที่บอกว่า “เริ่มแก่
รวมภาพตลกขำขันประจำวันนี้ วันที่อากาศเย็นๆ ลมแรงๆ แต่แดดก็เปรี้ยง ทำตัวไม่ถูกเลย ว่าจะออกไปเดินหลั่นล๊าดีไหม หรือหลบอยู่ในบ้านดี
ชายชาวเท็กซัส 2 คน ถูกจับหลัง วางแผนบุกยึดเกาะ เพื่อฆ่าข่มขืนคนทั้งเกาะ
เด็ก 15 ถูกเพื่อนร่วมงานรุมแกล้ง สอดสายยางเข้ารูก้น แล้วอัดลมเข้าจนตาย
ทำไม่คนขับรถบัสต้องถอยหลังขึ้นเนินสุดโหดถั่มมา'แทนที่จะขับไปข้างหน้ารู้เหตุผลยิ่งชื่นชมโชเฟอร์สุดยอดมากๆ
ไฟไหม้ระทึก!รถพ่วงเทรลเลอร์ 18 ล้อ ยางระเบิดบึ้มไฟลุกไหม้หวิดวอดทั้งคัน
