ดราม่าทัวร์ลงยับ! หนุ่มหล่อโพสต์ไม่เหมาะสมกลางช่วงไว้อาลัย ล่าสุดรีบลบหนีดราม่า

⚡ ชายหนุ่มหน้าตาดีโพสต์ข้อความไม่เหมาะสม หลังข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จุดกระแสโซเชียลถล่มยับ – ชาวเน็ตเรียกร้องให้รับผิดชอบต่อคำพูด

วันที่ 26 ตุลาคม 2568 โลกออนไลน์ของไทยเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความอาลัย เมื่อมีประกาศการสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทยทั้งชาติ

ประชาชนทั่วประเทศ ทั้งข้าราชการ ประชาชนทั่วไป รวมถึงคนดังในวงการบันเทิง ต่างออกมาโพสต์ข้อความแสดงความเสียใจและร่วมถวายความอาลัยผ่านทุกช่องทางออนไลน์ ขณะที่สถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศได้ปรับผังรายการเข้าสู่โหมดไว้อาลัย

แต่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า มีเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจและโกรธเคืองแก่คนไทยจำนวนมาก เมื่อชายหนุ่มหน้าตาดีรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความ หยาบคาย ก้าวร้าว และไม่เหมาะสม ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังร่วมกันไว้อาลัยให้แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ

 

💬 โพสต์ที่จุดชนวนความไม่พอใจทั่วประเทศ

จากข้อมูลที่ปรากฏในโลกออนไลน์ ชายหนุ่มรายนี้มีลักษณะเป็นคนรุ่นใหม่ หน้าตาดี และเคยมีผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กหลักหลายพันคน เขามักโพสต์ภาพการใช้ชีวิตหรูหรา เดินทางต่างประเทศ และมีเพื่อนในวงการบันเทิงบ้างประปราย

แต่สิ่งที่ทำให้โลกออนไลน์เดือดพล่าน คือข้อความที่เขาโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวในคืนวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกคนต่างแสดงความโศกเศร้า โดยข้อความนั้นมีเนื้อหาก้าวร้าวและสื่อถึงการ “ไม่ให้เกียรติ” ต่อพระมหากษัตริย์และราชวงศ์

แม้จะไม่มีการเผยแพร่ข้อความแบบเต็ม ๆ เนื่องจากมีเนื้อหาละเมิดและไม่เหมาะสม แต่จากคำบอกเล่าของผู้ที่เห็นโพสต์ต้นฉบับ ระบุว่าเป็น คำพูดที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ใช้ถ้อยคำรุนแรง และไม่ให้เกียรติผู้อื่นในช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย

ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ต่อออกไปอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ พร้อมเสียงตำหนิจากประชาชนจำนวนมาก โดยมีทั้งคอมเมนต์เรียกร้องให้เจ้าตัวออกมาขอโทษ ไปจนถึงบางคนถึงขั้นรายงานบัญชีของเขาให้ถูกตรวจสอบ

🚨 “ไม่รู้จักกาละเทศะ” กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงทั่วโซเชียล

คำว่า “กาละเทศะ” ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างกว้างขวางบนทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กหลังเกิดเหตุการณ์นี้ หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า คนไทยทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็จริง แต่ สิทธินั้นต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะโศกเศร้า

 “พูดอะไรก็พูดได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้”

“ไม่ว่าจะเห็นต่างแค่ไหน อย่างน้อยก็ให้เกียรติคนที่เสียใจอยู่บ้าง”

“กาละเทศะเป็นสิ่งที่สะท้อนการอบรมและจิตสำนึกของคน”

ชาวเน็ตหลายคนถึงขั้นย้อนภาพเก่าของชายหนุ่มรายนี้มาวิเคราะห์ว่า เขาอาจเป็นคนที่ชอบสร้างกระแสด้วยคำพูดแรง ๆ อยู่แล้ว บางครั้งเคยโพสต์ข้อความเหน็บแนมสังคมในลักษณะประชดประชัน จึงอาจมีพฤติกรรม “ชอบท้าทายกระแส” ซึ่งในครั้งนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม

 

🧨 โซเชียลระเบิด! ชาวเน็ตถล่มคอมเมนต์ – บางคนถึงขั้นแฉข้อมูลส่วนตัว

หลังโพสต์ถูกเผยแพร่ ชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปคอมเมนต์ต่อว่าอย่างรุนแรง บางส่วนใช้ถ้อยคำตำหนิด้วยอารมณ์โกรธ บางคนถึงขั้นแชร์ภาพโปรไฟล์ของชายหนุ่มรายนี้ในกลุ่มต่าง ๆ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ

โพสต์หนึ่งในทวิตเตอร์ที่แชร์ภาพของชายคนนี้ พร้อมข้อความว่า

 “คนไทยทั้งประเทศกำลังเสียใจ แต่เขากลับโพสต์แบบนี้… ไม่ให้เกียรติเลย”

กลายเป็นไวรัลทันที มียอดรีทวีตกว่า 40,000 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

บางคนถึงขั้นโพสต์แฉข้อมูลว่า ชายหนุ่มคนนี้เคยทำงานในสายบริการและเคยโพสต์คอนเทนต์แนวเหยียดเพศมาก่อน ทำให้ภาพลักษณ์ของเขายิ่งถูกโจมตีหนักขึ้น

🧹 ลบโพสต์หนีไม่ทัน! เจ้าตัวลบข้อความต้นฉบับออกแล้ว แต่ร่องรอยยังอยู่

หลังจากกระแสดราม่าลุกลาม เจ้าตัวได้รีบลบโพสต์ดังกล่าวออกจากเฟซบุ๊กส่วนตัวภายในไม่กี่ชั่วโมง พร้อมตั้งค่าบัญชีเป็น “ส่วนตัว” และปิดการคอมเมนต์ในหลายโพสต์ก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม โลกออนไลน์ไม่มีวันลืม – ภาพแคปโพสต์ต้นฉบับถูกบันทึกไว้โดยชาวเน็ตจำนวนมาก และกระจายต่อไปตามกลุ่มต่าง ๆ ทั้งบน Facebook, X (Twitter) และ TikTok โดยเฉพาะในกลุ่มที่ติดตามข่าวสังคมและการเมือง

ผู้ใช้รายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า

 “ลบโพสต์ไม่ได้แปลว่าเรื่องจบ เพราะคำพูดมันออกไปแล้ว”

อีกคนหนึ่งเสริมว่า

 “สิ่งที่เสียไม่ใช่แค่ชื่อเสียง แต่คือความเคารพจากคนในสังคม”

 

⚖️ ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อเตือน – “โลกออนไลน์ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคำพูดที่ขาดสติ”

ดร.ภาณุพงษ์ สถิตจิต นักวิชาการด้านสื่อและพฤติกรรมออนไลน์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยในยุคโซเชียล เพราะหลายคนลืมคิดว่า “ทุกโพสต์คือสาธารณะ” แม้จะตั้งค่าเป็นส่วนตัว แต่เพียงมีคนแคปภาพก็สามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ทันที

 “สิ่งที่ชายหนุ่มรายนี้ทำไม่ใช่แค่การโพสต์ข้อความธรรมดา แต่เป็นการแสดงทัศนคติในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งขัดกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในสังคม”

ดร.ภาณุพงษ์ ยังเสริมอีกว่า ปัญหานี้สะท้อนถึงการขาดวุฒิภาวะทางดิจิทัล (Digital Literacy) ของผู้ใช้โซเชียลบางกลุ่ม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ระบายอารมณ์โดยไม่ไตร่ตรอง

 

📢 สังคมเรียกร้องให้ “รับผิดชอบ” ต่อคำพูดของตนเอง

หลังจากโพสต์ดังกล่าวแพร่กระจาย หลายองค์กร รวมถึงกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กในเชิงจิตอาสา ได้ออกมาเรียกร้องให้เจ้าตัวแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูด ไม่ว่าจะเป็นการออกมาขอโทษต่อสาธารณะ หรือแสดงเจตนาชัดเจนว่าไม่มีเจตนาดูหมิ่น

ผู้ใช้รายหนึ่งโพสต์ว่า

 “ไม่จำเป็นต้องกราบ แต่ควรมีคำขอโทษที่จริงใจ ถ้าผิดก็ต้องยอมรับ ไม่ใช่ลบโพสต์หนีเฉย ๆ”

ในขณะที่บางฝ่ายเสนอว่า ควรให้โอกาสเจ้าตัวได้อธิบาย เพราะบางครั้งอาจเกิดจากความเข้าใจผิด หรือการพิมพ์โดยไม่คิด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน

 

🕊️ ความสูญเสียที่ควรค่าแก่ความเคารพ

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในบรรยากาศแห่งความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นบุคคลสำคัญที่มีพระราชกรณียกิจมากมาย ทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรม การอนุรักษ์ผ้าไทย การส่งเสริมอาชีพ และการดูแลประชาชนในถิ่นทุรกันดาร

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีคนออกมาโพสต์ข้อความในเชิงลบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประชาชนจะรู้สึกไม่พอใจ เพราะพระองค์ทรงเป็นที่รักและเคารพของคนไทยมาโดยตลอด

 “คนไทยทั้งประเทศร้องไห้ แต่มีบางคนกลับหัวเราะ มันไม่สมควรเลยจริง ๆ” — ความเห็นหนึ่งที่ถูกแชร์อย่างกว้างขวางในทวิตเตอร์

 

⚙️ จากดราม่าส่วนบุคคล สู่อุทาหรณ์ของคนยุคโซเชียล

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็น “บทเรียนสำคัญ” สำหรับทุกคนในยุคดิจิทัล ว่าทุกคำพูดที่โพสต์ออกไปในโลกออนไลน์ ล้วนมีผลกระทบจริง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

โลกโซเชียลอาจดูเหมือนพื้นที่ส่วนตัว แต่ในความจริงแล้ว มันคือ “เวทีสาธารณะขนาดใหญ่” ที่ทุกคนสามารถเห็น แสดงความคิดเห็น และเก็บหลักฐานได้ตลอดเวลา

“ก่อนโพสต์อะไร ให้ถามตัวเองก่อนว่า ถ้ามีคนทั้งประเทศเห็นสิ่งนี้ เราจะอายไหม”

นี่คือคำเตือนที่หลายคนเริ่มแชร์ต่อหลังเหตุการณ์นี้ เพื่อย้ำให้ทุกคนตระหนักว่า คำพูดมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด

 

💔 บทส่งท้าย – “คำพูดหนึ่งประโยค อาจทำลายทั้งชีวิต”

แม้ชายหนุ่มรายนี้จะลบโพสต์ไปแล้ว แต่ร่องรอยของสิ่งที่เขาทำได้กลายเป็น “ตราบาปดิจิทัล” ที่ยากจะลบเลือน เพราะโลกออนไลน์ไม่เคยลืม การแคปภาพ การแชร์ต่อ และการพูดถึง จะคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนไปอีกนาน

ในยุคที่ข้อมูลเดินทางเร็วกว่าความคิด การรู้จัก “ควบคุมอารมณ์ก่อนพิมพ์” จึงกลายเป็นทักษะสำคัญพอ ๆ กับการใช้เทคโนโลยี

และเหตุการณ์นี้ คงเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่สะท้อนว่า  “อิสระในการพูด มีค่าเท่ากับความรับผิดชอบในการฟังเสียงของผู้อื่น”