หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
News บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เจ้าของเพจดัง “พี่แหม่ม หัวใจใหญ่กว่ามะเร็ง” ถูกจับ! จ้างแม่บ้านวางยาพิษสามีกลางคอนโดหรู

โพสท์โดย bbb1236555

เจ้าของเพจดัง “พี่แหม่ม หัวใจใหญ่กว่ามะเร็ง” ถูกตำรวจบางซื่อสะกดรอยรวบกลางกรุง หลังออกหมายจับคดีสะเทือนขวัญ จงใจให้แม่บ้าน “วางยาพิษสามี” พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บางซื่อ นำโดย พ.ต.ต.มานพ เกิดประโคน สารวัตรสืบสวน สน.บางซื่อ พร้อมชุดสืบสวนพิเศษ ได้ทำการจับกุมตัว นางสาวนันทวรรณชยา ภาจิตประพันธ์ อายุ 58 ปี เจ้าของเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง “พี่แหม่ม หัวใจใหญ่กว่ามะเร็ง” ซึ่งเคยเป็นเพจที่เผยแพร่เรื่องราวการต่อสู้กับโรคร้ายและให้กำลังใจผู้ป่วยทั่วประเทศ จนมีผู้ติดตามมากกว่า 500,000 คน

แต่ในวันนี้ ชื่อของ “พี่แหม่ม” กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หลังมีพยานหลักฐานว่าเธอ จงใจใช้ให้แม่บ้านในบ้านพักวางยาพิษสามีของตนเอง เหตุเกิดในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ภายในบ้านพักตากอากาศหรูในพื้นที่ ตำบลโป่งตาลอง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

 

เบื้องหลังการจับกุม – ตำรวจสะกดรอยเงียบหลายวันก่อนเข้าชาร์จตัว

รายงานจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมระบุว่า ก่อนหน้านี้ตำรวจได้รับเบาะแสว่าผู้ต้องหาหลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งในย่านราชเทวี กรุงเทพมหานคร หลังจากมีหมายจับของ ศาลจังหวัดสีคิ้ว (ปากช่อง) เลขที่ 128/2568 ลงวันที่ 4 กันยายน 2568

เจ้าหน้าที่จึงวางแผนสะกดรอยติดตามหลายวัน โดยมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเส้นทางเข้าออกคอนโด และเฝ้าติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด กระทั่งในช่วงบ่ายของวันที่ 26 ตุลาคม ชุดสืบสวนพบหญิงสาวรายหนึ่งลักษณะตรงกับภาพถ่ายจากหมายจับ กำลังเดินออกจากคอนโดมาซื้อของบริเวณใกล้เคียง

พ.ต.ต.มานพ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าจับกุมพร้อมแสดงหมายจับต่อหน้า เมื่อผู้ต้องหาเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงท่าทีตกใจ แต่ให้ความร่วมมือดี ไม่ขัดขืนการจับกุมแต่อย่างใด

เมื่ออ่านหมายจับจบ ผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และไม่เคยถูกจับในคดีนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” พร้อมแจ้งสิทธิให้ทราบ ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หมูสี จ.นครราชสีมา เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย

 

จุดเริ่มต้นของคดี – จาก “คนให้กำลังใจผู้ป่วย” สู่ผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่า

คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ สามีของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นนักธุรกิจท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา เดินทางเข้าแจ้งความที่ สภ.หมูสี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 โดยให้การว่า ในช่วงปลายปี 2567 เขามีอาการป่วยแปลก ๆ หลังรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่แม่บ้านภายในบ้านพักจัดเตรียมให้หลายครั้ง ร่างกายมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน และน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว

หลังเข้ารับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเอกชนในโคราช แพทย์พบว่ามีสารพิษบางชนิดในเลือด ซึ่งมาจากพืชสมุนไพรที่หากใช้ในปริมาณมากจะมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและหัวใจ ทำให้เกิดอาการช็อกได้

เมื่อสอบถามแม่บ้านที่ทำอาหารให้ทุกวัน แม่บ้านรายดังกล่าวยอมรับว่า “ทำตามคำสั่งของคุณแหม่ม (ผู้ต้องหา)” โดยเธออ้างว่าถูกโน้มน้าวให้ใส่ “สมุนไพรบางชนิด” ลงในอาหารของสามี เพื่อช่วยปรับสมดุลร่างกาย แต่ภายหลังกลับพบว่าสมุนไพรเหล่านั้นเป็น สารพิษที่อันตรายต่อชีวิต

จากคำให้การของแม่บ้าน ทำให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานและสอบปากคำเพิ่มเติม รวมถึงผลตรวจทางพิษวิทยา ก่อนเสนอขอศาลออกหมายจับในข้อหา “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา – ผู้ต้องหามีความรู้ด้านแพทย์แผนไทย และกำลังเรียนต่อปริญญาเอก

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า น.ส.นันทวรรณชยา เป็นผู้หญิงมีชื่อเสียงในวงการแพทย์แผนไทย เคยเปิดเพจ “พี่แหม่ม หัวใจใหญ่กว่ามะเร็ง” เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร และแบ่งปันประสบการณ์ต่อสู้กับโรคมะเร็งของตนเอง จนได้รับการยกย่องจากผู้ติดตามในโลกออนไลน์ว่าเป็น “นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา”

เธอสำเร็จการศึกษาด้านแพทย์แผนไทยจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และขณะถูกจับกุมกำลังศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาแพทย์แผนไทยประยุกต์ โดยมีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและการบำบัดแบบองค์รวม

แต่ความรู้ที่ควรจะนำมาใช้เพื่อรักษาคน กลับถูกนำมาใช้ในทางตรงข้าม เมื่อมีหลักฐานชี้ว่าเธออาจใช้ “สมุนไพรมีพิษ” เป็นเครื่องมือในการวางแผนกำจัดสามีของตนเอง

 

ปมความขัดแย้งในครอบครัว – สาเหตุที่อาจนำไปสู่การลงมือ

แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยว่า ชีวิตสมรสของทั้งคู่ในช่วงหลังเต็มไปด้วยปัญหา มีปากเสียงกันบ่อยเรื่องทรัพย์สินและธุรกิจส่วนตัวที่ลงทุนร่วมกันในพื้นที่อำเภอปากช่อง โดยฝ่ายสามีเป็นผู้ลงทุนหลัก ขณะที่ฝ่ายภรรยารับหน้าที่ดูแลเรื่องสมุนไพรและการตลาด

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าผู้ต้องหาเคยมีปัญหาหนี้สินจากการลงทุนในธุรกิจเสริมความงามและผลิตภัณฑ์สมุนไพรออนไลน์ ซึ่งขาดทุนต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเครียดและความไม่พอใจในชีวิตคู่

ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่า ความขัดแย้งทางการเงินและปัญหาชีวิตคู่ อาจเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้ต้องหาวางแผนลงมือในครั้งนี้

พยานหลักฐานมัดแน่น – ทั้งสารพิษในเลือดและแชตสนทนา

หลังการแจ้งความของผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ได้ขอหมายศาลตรวจค้นบ้านพักในพื้นที่โป่งตาลอง พบภาชนะบรรจุสมุนไพรจำนวนมาก รวมถึงผงสมุนไพรบางชนิดที่มีสารพิษในปริมาณสูง และไม่ใช่สมุนไพรที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไป

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานการสนทนาทางโทรศัพท์และแอปพลิเคชันระหว่างผู้ต้องหากับแม่บ้าน ซึ่งมีข้อความเชิงสั่งการให้ “เตรียมสมุนไพรตัวเดิมให้ท่านรับประทาน” และ “อย่าให้รู้ว่าเราใส่อะไรเพิ่ม” ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ผู้เสียหายมีอาการป่วย

เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่ามีเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน ไม่ใช่เพียงการให้สมุนไพรเพื่อบำรุงร่างกายตามที่ผู้ต้องหาอ้าง

 

สังคมออนไลน์ช็อก – จากแรงบันดาลใจสู่ความผิดร้ายแรง

หลังข่าวการจับกุมถูกเผยแพร่ สังคมออนไลน์ต่างตกตะลึง เพราะ “พี่แหม่ม หัวใจใหญ่กว่ามะเร็ง” เคยเป็นเพจที่ได้รับรางวัลด้านจิตอาสา และเคยปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์หลายช่องในฐานะผู้ให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง

ชาวเน็ตจำนวนมากแสดงความเห็นในเชิงไม่อยากเชื่อ บางรายระบุว่าเคยได้รับคำปรึกษาจากเธอเรื่องสุขภาพและรู้สึกตกใจที่บุคคลที่เคยเป็นแรงบันดาลใจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีพยายามฆ่าขนาดนี้

ขณะที่อีกส่วนหนึ่งมองว่า เรื่องนี้สะท้อนถึง “ด้านมืดของความรู้” เพราะหากบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรใช้ความรู้ในทางผิด ก็อาจสร้างอันตรายถึงชีวิตได้

 

ความเห็นจากเจ้าหน้าที่ – คดีนี้ซับซ้อนและต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ

พ.ต.ต.มานพ เกิดประโคน เปิดเผยว่า คดีนี้มีความซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับสารสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทางยาและพิษ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เข้ามาร่วมตรวจสอบเพื่อยืนยันชนิดของสารพิษที่ใช้

“เรากำลังรอผลตรวจยืนยันเพิ่มเติมจากห้องแล็บ ส่วนแม่บ้านที่ลงมือจริงก็ได้ให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก และจะได้รับการพิจารณาในฐานะพยานในคดี ส่วนตัวผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา” พ.ต.ต.มานพ กล่าว

 

เส้นทางคดี – หลังจับกุมส่งตัวปากช่อง เตรียมฝากขังและค้านประกัน

หลังจากจับกุมที่คอนโดในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหากลับไปยัง สภ.หมูสี จ.นครราชสีมา เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม โดยมีทนายความส่วนตัวเข้าร่วมรับฟังการสอบสวน

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว เพื่อฝากขังผู้ต้องหาในวันถัดไป พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ มีพฤติการณ์วางแผนล่วงหน้าและอาจหลบหนี

เสียงจากครอบครัวผู้เสียหาย – “ไม่อยากเชื่อว่าคนที่อยู่ด้วยกันมานานจะทำได้ลงคอ”

สามีของผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์สั้น ๆ หลังทราบข่าวการจับกุมว่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่อยู่ด้วยกันมากว่า 20 ปีจะลงมือทำกับผมแบบนี้ เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ผ่านมะเร็ง ผ่านวิกฤติทางการเงินมาด้วยกันทั้งหมด ผมไม่โกรธ แต่ผมอยากให้ความจริงปรากฏ เพื่อให้คนอื่นไม่ต้องตกเป็นเหยื่อแบบผม”

เขายังกล่าวขอบคุณตำรวจที่ทำงานอย่างรอบคอบและใช้เวลาในการรวบรวมหลักฐานจนสามารถนำผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้

 

มุมมองนักกฎหมาย – หากศาลชี้ว่ามีเจตนาไตร่ตรอง โทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

ทนายความอิสระที่ติดตามคดีนี้ระบุว่า ความผิดฐาน “พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 มีโทษสูงสุดถึง ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต แต่เนื่องจากเป็นเพียง “พยายามฆ่า” โทษอาจลดลงเหลือจำคุกไม่เกิน 20 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แห่งคดีและพยานหลักฐาน

 

บทสรุปเบื้องต้น – จากคนให้กำลังใจ สู่ผู้ต้องหาคดีสะเทือนใจ

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป “พี่แหม่ม หัวใจใหญ่กว่ามะเร็ง” เคยเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเธออาจเกี่ยวข้องกับการวางแผนฆ่าสามีของตนเอง ความรู้สึกของผู้ติดตามหลายหมื่นคนก็เปลี่ยนจากความศรัทธาเป็นความตกใจ

คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม และต้องรอผลตรวจพิสูจน์สารพิษอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการชี้ขาดว่า ผู้ต้องหามีเจตนาฆ่าหรือไม่

 

🟣 สรุปโดยรวม:

เรื่องราวของหญิงวัย 58 ปี เจ้าของเพจดังผู้เคยสร้างแรงบันดาลใจ กลับพลิกผันกลายเป็นผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่าสามีตนเองด้วย “สมุนไพรมีพิษ” คดีนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนใจคนในครอบครัว แต่ยังกลายเป็นบทเรียนสำคัญของสังคม ว่า “ความรู้” หากถูกใช้ผิดทาง ก็อาจกลายเป็น “อาวุธร้ายแรง” ได้ไม่ต่างจากมีดหรือปืน

 

 

เนื้อหาโดย: bbb1236555
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
bbb1236555's profile


โพสท์โดย: bbb1236555
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เปิด 25 โทนสีสุภาพ นอกจาก "ขาว–ดำ" ที่สามารถสวมใส่ไว้ทุกข์ได้ตลอด 90 วันอาบน้ำอยู่ดีๆ เสือโผล่มาซะงั้นสิบเลขขายดี สลากตัวเลขสามหลัก N3 งวด 1/11/68ทางหลวงแจ้งความแน่ กระบะพุ่งชน 'ป้ายบอกทางขนาดใหญ่' หักโค่น ทำกาญจนาภิเษกติดหนึบทุกช่องทาง
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
เด็กขอเงินรักษาป้า!? ชาวเน็ตแฉรูปแท้จริงคือ ‘เลดี้ กาก้า’ด่วน! ททท. ประกาศเลื่อน “วิจิตรเจ้าพระยา 2568” งดพลุ-งดงานรื่นเริง ถวายความอาลัยเบียร์ เดอะวอยซ์” เดือด! ฟาดพิธีกรดัง-ทนายดัง กลางโซเชียล พูดสวนกันคนละทาง ปมหมายศาลโผล่!ไอซ์ รักชนก” ขอบคุณ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” หลังชม ‘วรภัค’ มีสปิริตลาออก เคลียร์ใจปมธรรมนัส-กัน จอมพลัง
ตั้งกระทู้ใหม่