ไอซ์ รักชนก” ขอบคุณ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” หลังชม ‘วรภัค’ มีสปิริตลาออก เคลียร์ใจปมธรรมนัส-กัน จอมพลัง
🗳️ ไอซ์ รักชนก ขอบคุณ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ช่วยอธิบายเจตนารมณ์นายกฯ หลังซึ้งคำชม “วรภัค” แสดงสปิริตลาออก พร้อมตั้งคำถามแรง “เอาโจรไปปรามโจรดีไหมล่ะ?” ปมธรรมนัสนั่งคุมปราบแก๊งสแกมเมอร์
วันที่ 27 ตุลาคม 2568 – บรรยากาศการเมืองไทยยังคงเข้มข้น หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อ “คณะรัฐมนตรี อนุทิน 1” โดยเฉพาะในสองประเด็นใหญ่ที่กลายเป็นที่จับตามองในสังคม ได้แก่ การลาออกของนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน กับอีกกรณีคือการแต่งตั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้เป็นประธานคณะกรรมการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางถึง “ความเหมาะสม”
ท่ามกลางกระแสดังกล่าว นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย และในฐานะ “ประธานวิปรัฐบาล” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตอบโต้สังคมอย่างชัดเจน โดยให้เหตุผล สนับสนุน และชี้แจงในหลายประเด็นที่สังคมยังคลางแคลงใจ
คำพูดของ “ชาดา” ถูกมองว่าเป็นการ “อธิบายเจตนารมณ์แทนนายกรัฐมนตรี” อย่างตรงไปตรงมา และทำให้เกิดเสียงสะท้อนในโลกออนไลน์จำนวนมาก รวมถึงจากฝั่งฝ่ายค้านและนักการเมืองอิสระ โดยหนึ่งในนั้นคือ “ไอซ์ รักชนก ศรีนอก” ส.ส.พรรคประชาชน ที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Rukchanok Srinork” แสดงความเห็นถึงประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา พร้อมกล่าวขอบคุณ “นายชาดา” ที่ช่วยเปิดเผยมุมมองเบื้องหลังเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี
💬 ไอซ์ รักชนก ขอบคุณชาดา “ที่ช่วยอธิบายเจตนารมณ์นายกฯ ชัดเจนขึ้น”
ในโพสต์ของ “ไอซ์ รักชนก” เธอได้ระบุข้อความสั้นแต่ชัดเจนว่า
“ขอบคุณท่านชาดาที่ช่วยอธิบายเจตนารมณ์ที่แท้จริงของท่านนายกฯ ที่ผ่านมา คนก็ได้แต่สงสัยว่าใช่ไหม... ขอบคุณที่ยืนยันค่ะ”
ถ้อยคำดังกล่าวสะท้อนถึงความรู้สึก “ประชด” และ “ตั้งคำถาม” ในเวลาเดียวกัน เพราะก่อนหน้านี้หลายฝ่ายต่างพยายามวิเคราะห์แนวคิดและท่าทีของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าจะเดินหน้าอย่างไรท่ามกลางข้อครหาเรื่องคุณสมบัติของบุคคลที่ได้รับแต่งตั้ง
โพสต์ของไอซ์ รักชนก จึงไม่เพียงแต่เป็นการขอบคุณเชิงเสียดสี แต่ยังกลายเป็นประเด็นร้อนในหมู่ผู้ติดตามทางการเมือง ที่ตีความว่าเธอต้องการสื่อถึง “ความย้อนแย้ง” ของการเมืองไทย ที่บางครั้งผู้มีตำแหน่งสูงกลับถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมและความเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง
⚖️ ชาดาออกโรงปกป้องรัฐบาล อธิบายกรณี “วรภัค ธันยาวงษ์” ลาออก
ก่อนหน้าที่ไอซ์ รักชนกจะโพสต์ข้อความดังกล่าว นายชาดาได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงกรณีการลาออกของนายวรภัค ธันยาวงษ์ ซึ่งสร้างความตกใจในวงการเมืองและเศรษฐกิจ เนื่องจากนายวรภัคถือเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ที่มีประสบการณ์ยาวนาน และเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนายอนุทินได้เพียงไม่กี่วัน
นายชาดา กล่าวชัดว่า การที่นายวรภัคตัดสินใจลาออกทันทีหลังเกิดข้อครหา ถือเป็น “การแสดงสปิริตทางการเมืองที่แท้จริง” พร้อมยกย่องว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่ควรได้รับการชื่นชม
“ที่ผ่านมามีแต่นักการเมืองที่ยิ่งถูกกล่าวหาก็ยิ่งไม่ลาออก ยิ่งมัวหมองก็ยิ่งยึดติดอำนาจ แต่ท่านวรภัคกลับเลือกเดินอีกทาง ท่านตัดสินใจอย่างมีเกียรติ ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ถือเป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองอย่างแท้จริง”
ชาดายังเสริมว่า การลาออกครั้งนี้ “ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล” เพราะรัฐบาลยังเดินหน้าได้ตามปกติ และถือว่าเป็นเรื่องดีที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้ยึดมั่นในจริยธรรมทางการเมืองอยู่ในแวดวงอำนาจ
“ลองไปนับดูรัฐบาลอื่น ๆ สิ เวลามีเรื่องมัวหมอง มีใครแสดงสปิริตอย่างนี้บ้างไหม? ท่านวรภัคสมควรได้รับคำชม”
🔥 ปมเดือด “ธรรมนัส” นั่งหัวโต๊ะปราบแก๊งสแกมเมอร์
แต่ประเด็นที่ร้อนแรงกว่านั้น คือคำถามที่สังคมตั้งขึ้นถึง “ความเหมาะสมของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็น “ประธานคณะกรรมการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์” ภายใต้รัฐบาลชุดใหม่
นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวหลายรายตั้งข้อสงสัยว่า การแต่งตั้งบุคคลที่เคยมีประวัติด้านคดีในอดีต มารับหน้าที่สำคัญด้านความมั่นคงและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและความเชื่อมั่นของประชาชน
เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นนี้ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ตอบอย่างไม่อ้อมค้อม และกลายเป็นวาทะเด็ดที่ถูกแชร์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ว่า
“ก็ทำไมล่ะ ถ้าคุณเข้าใจแบบนั้น ทำไมไม่เข้าใจว่า ‘เอาโจรไปปราบโจร’ ดีไหมล่ะ ขอให้คุณธรรมนัสรู้เรื่องจริงเถอะ ผมว่าเขาก็ต้องทำได้”
คำตอบดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมออนไลน์ทันที เพราะถูกมองว่าเป็นการยอมรับอย่างกลาย ๆ ว่ารัฐบาลเลือกใช้นักการเมืองที่มี “พื้นหลังสีเทา” เพื่อทำภารกิจในโลกสีเทาเช่นกัน ซึ่งเป็นมุมมองที่ถูกทั้งชื่นชมและวิจารณ์ในเวลาเดียวกัน
บางส่วนเห็นว่า “ชาดา” กล้าพูดในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าพูด และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในโลกการเมือง ความจริงไม่ได้ขาวหรือดำเสมอไป” แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงวิจารณ์หนักว่า “ถ้อยคำนี้สะท้อนถึงมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองที่น่ากังวล”
🤝 ชาดาชี้ “อย่าใช้ความรู้สึกนำ” ขอให้ดูข้อเท็จจริงก่อนตัดสิน
นายชาดายังได้ขยายความในตอนท้ายว่า ตนไม่ได้ปฏิเสธสิทธิของประชาชนในการตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ แต่ขอให้สังคมใช้ “ข้อมูล” มากกว่า “อารมณ์” ในการพิจารณา
“อย่าเพิ่งไปตัดสินใครเพียงเพราะข่าวหรือภาพลักษณ์ อย่าอยู่กับกระแสหรืออารมณ์ ต้องอยู่กับความเป็นจริง หากท่านธรรมนัสทำผิดจริง ก็ควรวิพากษ์ แต่ถ้ายังไม่เริ่มงาน ก็อย่าเพิ่งตัดสิน”
ชาดาเชื่อว่าประสบการณ์และความเข้าใจของ ร.อ.ธรรมนัส ที่มีต่อกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ในพื้นที่อาจกลายเป็น “จุดแข็ง” มากกว่า “จุดอ่อน” เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและเข้าใจระบบของปัญหาในระดับภาคสนาม
“การจะปราบโจร ต้องรู้จักโจร” – ชาดากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
🏛️ ชี้แจงประเด็น “กัน จอมพลัง” และมูลนิธิที่ถูกจับตา
นอกจากสองประเด็นหลักแล้ว นายชาดายังถูกถามถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับ นายกัน จอมพลัง (อาชวิน ทองมณี) ซึ่งตกเป็นข่าวเรื่องการจัดตั้ง “มูลนิธิ” และถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินงาน
นายชาดาอธิบายว่า ทุกมูลนิธิในประเทศไทยมีข้อกำหนดชัดเจนในเรื่อง “การโอนทรัพย์สินหากยุติกิจการ” และยืนยันว่ากระบวนการเหล่านี้อยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำโดยพลการได้
“ผมเคยทำงานด้านการจัดตั้งมูลนิธิ ทุกมูลนิธิต้องมีข้อกำหนดที่ชัดเจน ไม่สามารถนำเงินไปใช้ผิดประเภทได้ และหากยกเลิก ต้องโอนทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับ”
เขายังกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการเหมารวมว่า “คนที่รู้จักกัน” จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเสมอไป
“เพียงเพราะรู้จักกับ ร.อ.ธรรมนัส แล้วจะถูกเหมาว่าเป็นคนเลว มันไม่ถูกต้อง ทุกคนควรได้รับความเป็นธรรม”
🌐 ขยายภาพ “เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์” ที่ปรึกษาฮุน เซน
สื่อยังได้ถามถึงประเด็นเชื่อมโยงระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับ “เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์” ที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งปรากฏชื่อในหลายกรณีเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ตอบตรงไปตรงมาว่า ตนไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เชื่อว่าบุคคลนี้อาจมีความสัมพันธ์ในเชิงเครือข่ายการทำงานระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย
“ในโลกของการทูตและการเมือง การรู้จักกันไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าเรามีเพื่อนในต่างประเทศแล้วเขาทำผิด เราไม่ได้ต้องผิดไปด้วย”
เขาย้ำว่าควรแยก “ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล” ออกจาก “ความรับผิดทางการเมือง” และอย่านำทุกอย่างมาปะปนจนกลายเป็นการโจมตีด้วยอารมณ์
🧭 มุมมองจากนักวิเคราะห์ : วาทะ “เอาโจรไปปราบโจร” สะท้อนความจริงทางการเมืองไทย
หลังจากคำสัมภาษณ์ของนายชาดาแพร่กระจายออกไป นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์จำนวนหนึ่งได้ออกมาให้ความเห็นว่า วาทะ “เอาโจรไปปราบโจร” แม้ฟังดูขัดกับหลักคุณธรรม แต่ก็สะท้อน “โลกความจริง” ของการเมืองไทย ที่บางครั้งการจัดการปัญหาซับซ้อนจำเป็นต้องใช้ “ผู้ที่รู้กลไกของปัญหา”
บางคนมองว่า คำพูดนี้อาจไม่ได้หมายถึงการยอมรับการทุจริต แต่เป็นการยอมรับว่า “การปราบอาชญากรรมต้องอาศัยคนที่เข้าใจระบบของอาชญากรรม” เพียงแต่ถ้อยคำที่ใช้ฟังดูรุนแรงจนประชาชนบางส่วนรู้สึกไม่สบายใจ
ในอีกมุมหนึ่ง นักเคลื่อนไหวเพื่อความโปร่งใสกลับมองว่า คำพูดลักษณะนี้เป็นอันตรายต่อจิตสำนึกสาธารณะ เพราะอาจทำให้สังคมเริ่ม “ยอมรับความผิดปกติ” จนกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลที่ประชาชนคาดหวังจากรัฐบาล
🗣️ สังคมโซเชียลเดือด – เสียงแตกสองขั้ว
หลังจากข่าวคำสัมภาษณ์และโพสต์ของไอซ์ รักชนก ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ กระแสความคิดเห็นแตกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่
กลุ่มหนึ่งเห็นด้วยกับนายชาดา โดยให้เหตุผลว่า “พูดจริง ไม่โลกสวย” และชื่นชมความตรงไปตรงมาของเขา ขณะที่อีกกลุ่มกลับมองว่าเป็นคำพูดที่ “ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” เพราะเปรียบเปรยในลักษณะที่อาจทำลายศรัทธาประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม
บนแพลตฟอร์ม X (Twitter) แฮชแท็ก #เอาโจรไปปรามโจร และ #ไอซ์รักชนก ติดเทรนด์อันดับต้น ๆ ภายในไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่เพจการเมืองจำนวนมากนำคำพูดของทั้งสองฝ่ายมาวิพากษ์ต่อยอดเป็นการถกเถียงเชิงหลักการ
💡 สรุปภาพรวม : รัฐบาลต้องเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งในเรื่อง “ความโปร่งใส” ของคณะรัฐมนตรี และ “ความเชื่อมั่น” ของประชาชนต่อผู้ที่ได้รับตำแหน่งสำคัญ
แม้ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” จะพยายามอธิบายให้เห็นถึงความตั้งใจและเหตุผลในการแต่งตั้งบุคคลต่าง ๆ แต่คำพูดที่ตรงและรุนแรงกลับกลายเป็นดาบสองคม ที่เปิดให้สังคมตั้งคำถามลึกขึ้นถึง “มาตรฐานทางการเมือง” ของรัฐบาลชุดนี้
ในขณะเดียวกัน “ไอซ์ รักชนก” ก็ยังคงเป็นหนึ่งในนักการเมืองหญิงรุ่นใหม่ที่กล้าแสดงออกทางความคิด และไม่เกรงกลัวต่อการตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจ ซึ่งทำให้เธอกลายเป็น “เสียงสะท้อน” สำคัญของฝ่ายที่ยังเชื่อมั่นในหลักคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมือง
✍️ บทส่งท้าย
คำพูดของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” และโพสต์ของ “ไอซ์ รักชนก” ในครั้งนี้ อาจต่างกันในท่าทีและมุมมอง แต่ทั้งคู่สะท้อนภาพเดียวกันคือ “ความจริงของการเมืองไทย” ที่ยังต้องการการตรวจสอบอย่างเข้มข้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด – รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน – หากยังมีประชาชนคอยจับตา ตั้งคำถาม และเรียกร้องความโปร่งใส การเมืองไทยก็ยังคงมีทางไปข้างหน้า
สิบเลขขายดี สลากตัวเลขสามหลัก N3 งวด 1/11/68
ทางหลวงแจ้งความแน่ กระบะพุ่งชน 'ป้ายบอกทางขนาดใหญ่' หักโค่น ทำกาญจนาภิเษกติดหนึบทุกช่องทาง
อาบน้ำอยู่ดีๆ เสือโผล่มาซะงั้น
เปิด 25 โทนสีสุภาพ นอกจาก "ขาว–ดำ" ที่สามารถสวมใส่ไว้ทุกข์ได้ตลอด 90 วัน
เด็กขอเงินรักษาป้า!? ชาวเน็ตแฉรูปแท้จริงคือ ‘เลดี้ กาก้า’
ด่วน! ททท. ประกาศเลื่อน “วิจิตรเจ้าพระยา 2568” งดพลุ-งดงานรื่นเริง ถวายความอาลัย
เบียร์ เดอะวอยซ์” เดือด! ฟาดพิธีกรดัง-ทนายดัง กลางโซเชียล พูดสวนกันคนละทาง ปมหมายศาลโผล่!
เจ้าของเพจดัง “พี่แหม่ม หัวใจใหญ่กว่ามะเร็ง” ถูกจับ! จ้างแม่บ้านวางยาพิษสามีกลางคอนโดหรู


