🐔 เปิดคำชี้แจงเทศบาล! พ่อค้าไก่ปิ้งโดนปรับ 1.5 แสน เหตุปิ้งในบ้าน กลิ่นแรงรบกวนเพื่อนบ้าน
🔥 “เทศบาลแจงแล้ว” พ่อค้าไก่ปิ้งโดนค่าปรับ 1.5 แสน หลังเพื่อนบ้านร้องเรียน พบปิ้งไก่ในบ้าน-กลิ่นเหม็น ยืนยันคิดตามวันละ 3,000 บาท ทำตามขั้นตอนให้โอกาสปรับปรุงหลายครั้งแล้ว
กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ตลอดสัปดาห์ หลังกรณี หนุ่มพ่อค้าไก่ปิ้ง ในพื้นที่เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ออกมาเปิดใจว่าถูกเทศบาลเรียกเก็บค่าปรับสูงถึง 159,000 บาท ภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 หลังมีเพื่อนบ้านร้องเรียนว่า “บ้านข้างเคียงมีกลิ่นควันเหม็นจากการปิ้งไก่ และมีการเสียบไม้เตรียมของขายในบ้านพัก”
แม้จะฟังดูเป็นเรื่องเล็กระหว่างเพื่อนบ้าน แต่เมื่อมีค่าปรับระดับแสนเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้จึงกลายเป็น ดราม่าระดับประเทศ ที่ทำให้คนทั้งโซเชียลตั้งคำถามว่า “กฎหมายเข้มเกินไปหรือไม่?” “ทำไมคนหาเช้ากินค่ำต้องถูกปรับหนักขนาดนี้?” และ “เทศบาลมีสิทธิ์ปรับขนาดนี้จริงหรือเปล่า?”
ล่าสุด วันที่ 22 ตุลาคม 2568 รายการ “โหนกระแส” ดำเนินรายการโดย หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ได้เชิญทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกันแบบเปิดใจ ได้แก่
นายธวัชชัย เทพสุทิน อายุ 25 ปี พ่อค้าไก่ปิ้งผู้ถูกเรียกเก็บค่าปรับ
และ คุณปริญดา เชาว์อรัญ รองปลัดเทศบาล รักษาการแทนปลัดเทศบาลนครปากเกร็ด
ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้อธิบายเหตุการณ์อย่างละเอียด ทำให้สาธารณชนได้เห็นภาพทั้งหมดของกรณีนี้อย่างชัดเจน
🧑🍳 พ่อค้าไก่ปิ้งเผย “ขายเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ได้ตั้งโรงงาน” – โดนค่าปรับถึงแสนห้าเพราะไม่รู้ขั้นตอน
นายธวัชชัย เล่าว่า ตนเป็นพ่อค้าไก่ปิ้งเสียบไม้ขายในพื้นที่มาหลายปีแล้ว โดยใช้บ้านพักเป็นสถานที่เตรียมของก่อนนำไปปิ้งขายที่ตลาดในช่วงเช้า บางวันก็มีลูกค้ามารับออเดอร์ถึงบ้าน แต่ยืนยันว่า ไม่ได้ตั้งเตาปิ้งขนาดใหญ่หรือขายของเสียงดังรบกวนใคร
“ตอนแรกทางเทศบาลแจ้งว่าจะมีค่าปรับ แต่ไม่ได้บอกตัวเลขแน่ชัด บอกให้ไปปรับปรุง ซึ่งผมก็พยายามทำตามเท่าที่ทำได้ จนมารู้ทีหลังอีกทีตอนตุลาคมว่า ค่าปรับรวมแล้วเป็น 159,000 บาท ตกใจมากครับ เพราะรายได้ต่อวันก็แค่หลักร้อย จะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย”
นายธวัชชัยเผยอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการว่ามีการปรับรายวันตาม พ.ร.บ. สาธารณสุขมาก่อน จนกระทั่งได้รับเอกสารเรียกชำระค่าปรับฉบับนี้ ทำให้รู้สึกเสียใจและไม่เข้าใจว่าเหตุใดเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ถึงต้องถึงขั้น “โดนค่าปรับระดับแสนห้า”
🏛️ เทศบาลออกโรงชี้แจงละเอียด! ยืนยันทำตามขั้นตอนทุกระยะ – ให้โอกาสแก้ไขหลายครั้งแต่ไม่ปรับปรุง
ด้าน คุณปริญดา เชาว์อรัญ รองปลัดเทศบาลนครปากเกร็ด ได้ชี้แจงอย่างละเอียดในรายการ โดยระบุว่า เทศบาลไม่ได้ดำเนินการปรับในทันที แต่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและให้โอกาสผู้ประกอบการปรับปรุงมาหลายครั้ง
“เราทราบดีว่ากฎหมายนี้มีความรุนแรง ทั้งในแง่ค่าปรับและความรู้สึกของประชาชน แต่เทศบาลไม่ได้เร่งรัดดำเนินการ เราให้เวลาเกือบ 310 วันเต็มเพื่อปรับปรุงแก้ไข ก่อนจะถึงจุดที่ต้องคิดค่าปรับรายวัน”
เธอยืนยันว่า เทศบาลได้รับการร้องเรียนครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 จากเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน โดยแจ้งว่ามีการปิ้งย่างไก่ติดกับกำแพงบ้าน มีเสียงดัง กลิ่นควันเหม็น และมีลูกจ้างสูบบุหรี่บริเวณดังกล่าว
ต่อมาเจ้าหน้าที่เทศบาลจึงลงพื้นที่ตรวจสอบในเดือน ธันวาคม 2567 และพบว่า มีการเสียบไม้ไก่ เตรียมวัตถุดิบในบ้าน และมีการจำหน่ายไก่ย่างจริง โดยพบถังดักไขมันสกปรก มีกลิ่นเหม็น และวางอุปกรณ์ทำอาหารไว้บนพื้น ซึ่งถือว่าเป็นกิจการที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญคือ ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการจากเทศบาล
🧾 ขั้นตอนแรก: “ตักเตือนและให้แก้ไขก่อน” – เทศบาลยืนยันใช้มาตรการเบา
เบื้องต้นเทศบาลไม่ได้ดำเนินการลงโทษทันที แต่เลือกใช้วิธี ตักเตือนและให้เวลาแก้ไข โดยสั่งให้ทำความสะอาดถังดักไขมัน จัดเก็บวัตถุดิบให้ถูกสุขลักษณะ และยื่นขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง พร้อมให้เวลาปรับปรุง 10 วัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปตรวจซ้ำ ปรากฏว่ายังพบการกระทำในลักษณะเดิม และมีเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างคู่กรณี จึงทำให้เทศบาลต้องยกระดับมาตรการ
⚠️ ขั้นตอนที่สอง: “สั่งหยุดดำเนินกิจการทันที”
เมื่อเห็นว่าไม่มีการแก้ไข เทศบาลจึงส่งหนังสืออย่างเป็นทางการให้ หยุดดำเนินกิจการทันที โดยออกหนังสือวันที่ 23 ธันวาคม 2567 และได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการในวันที่ 25 ธันวาคม 2567
แต่ในระหว่างที่เทศบาลรอให้ผู้ค้าปรับปรุง เพื่อนบ้านคนเดิมก็ยังร้องเรียนเข้ามาซ้ำหลายครั้ง โดยอ้างว่ายังได้กลิ่นควันจากการปิ้งไก่ และมีการทำกิจกรรมเตรียมของขายอยู่ในพื้นที่เดิม
คุณปริญดา ระบุว่า
“เราพยายามเป็นกลางที่สุด ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่แล้วพบการปิ้งย่างเกิดขึ้นจริง ก็ถือว่ามีการฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานอย่างชัดเจน”
📅 ลำดับเหตุการณ์โดยละเอียด
26 พ.ย. 67: เพื่อนบ้านยื่นเรื่องร้องเรียนครั้งแรก
ธ.ค. 67: เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ พบการเสียบไม้ไก่-กลิ่นเหม็น และไม่มีใบอนุญาต
23 ธ.ค. 67: เทศบาลมีคำสั่งให้หยุดดำเนินกิจการทันที
25 ธ.ค. 67: ผู้ค้ารับทราบหนังสือคำสั่ง
7 ม.ค. 68: มีการร้องเรียนซ้ำจากเพื่อนบ้าน
21 ม.ค. 68: เจ้าหน้าที่ลงตรวจอีกครั้ง พบการปิ้งไก่ในจุดร้องเรียน
28 ม.ค. 68: มีคำร้องใหม่เข้ามาอีก เทศบาลจึงเริ่มพิจารณาโทษปรับ
💰 เปิดสูตรคำนวณค่าปรับ 159,000 บาท
คุณปริญดาเปิดเผยว่า เทศบาล เริ่มคิดค่าปรับตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 67 (วันรับหนังสือหยุดดำเนินกิจการ) ไปจนถึงวันที่ 21 ม.ค. 68 รวมทั้งหมด 28 วัน
โดยแบ่งรายละเอียดค่าปรับดังนี้
1. ตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต = 37,500 บาท
2. ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานไม่หยุดกิจการ = 37,500 บาท
3. ค่าปรับรายวัน (วันละ 3,000 บาท × 28 วัน) = 84,000 บาท
รวมยอดค่าปรับทั้งหมด = 159,000 บาทถ้วน
💼 เทศบาลยัน “ไม่ได้เอาเข้ากระเป๋าใคร” – ผ่านคณะกรรมการเปรียบเทียบตามกฎหมาย
คุณปริญดายืนยันว่า การปรับทั้งหมดไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่เทศบาลเพียงลำพัง แต่ต้องผ่านกระบวนการของ คณะกรรมการเปรียบเทียบ ซึ่งประกอบด้วย
ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี
ผู้แทนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
เจ้าหน้าที่ตำรวจ
และผู้ช่วยผู้ว่าฯ อีก 2 ท่าน
คณะกรรมการได้ประชุมพิจารณาในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และส่งผลการพิจารณาอย่างเป็นทางการมายังเทศบาลในวันที่ 15 กันยายน 2568 ก่อนจะออกหนังสือแจ้งค่าปรับถึงนายธวัชชัยในภายหลัง
“เงินค่าปรับทั้งหมดไม่ได้เข้ากระเป๋าใคร ไม่ได้ให้รางวัลเด็กที่ไปตรวจหรือเจ้าหน้าที่ใด ๆ เงินทั้งหมดเข้ากองรายได้ของเทศบาล และมีการออกใบเสร็จชัดเจน”
🧍♂️ ฝั่งพ่อค้ายังยืนยัน “ไม่ได้ปิ้งไก่ในบ้าน”
นายธวัชชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า
“ผมไม่ได้ปิ้งไก่ที่บ้านครับ ผมไปปิ้งที่ร้านอีกจุดหนึ่ง บ้านแค่ไว้เสียบไม้เตรียมวัตถุดิบเท่านั้น และทุกอย่างก็อยู่ในร่ม ไม่ได้รบกวนใครเลย”
เขายังบอกอีกว่า พร้อมจะขอคำปรึกษาด้านกฎหมายเพื่อยื่นอุทธรณ์ เพราะรู้สึกว่าค่าปรับที่สูงเกินไปไม่เหมาะสมกับฐานะของคนหาเช้ากินค่ำ
💬 โซเชียลแตกเป็นสองฝ่าย – คนเห็นใจ vs คนถือกฎหมาย
หลังจากรายการออกอากาศ กระแสในโลกออนไลน์ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยชาวเน็ตแบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน
ฝ่ายแรกแสดงความเห็นใจพ่อค้า บอกว่าเศรษฐกิจยุคนี้ยากจนอยู่แล้ว ค่าปรับระดับแสนถือว่ารุนแรงเกินไป ควรให้ตักเตือนมากกว่าลงโทษทางการเงิน
💬 “รายได้วันละไม่กี่ร้อย จะไปเอาเงินแสนมาจากไหน”
💬 “อยากให้รัฐเห็นใจคนตัวเล็ก ๆ บ้าง เขาแค่ทำมาหากิน”
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกลับมองว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย หากฝ่าฝืนแม้เล็กน้อยก็ต้องรับผิด เพราะหากละเลยจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนอื่นทำตาม
💬 “เพื่อนบ้านมีสิทธิ์อยากอยู่สงบ ถ้ามีกลิ่นควันเข้าบ้านทุกวันก็รำคาญเหมือนกัน”
💬 “กฎหมายมีไว้คุมความเป็นระเบียบ ไม่ใช่เรื่องเห็นใจหรือไม่เห็นใจ”
📚 มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใครผิดใครถูก แต่เป็น “รอยต่อของวิถีชีวิตคนเมือง”
นักสังคมวิทยาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า ปัญหาเช่นนี้เกิดจากการเปลี่ยนผ่านของชุมชนไทยที่เข้าสู่สังคมเมืองเต็มตัว ในอดีตบ้านเรือนมักใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งค้าขาย แต่ในยุคปัจจุบัน พื้นที่อยู่อาศัยและเขตพาณิชยกรรมถูกแบ่งชัดเจน ทำให้เกิดความขัดแย้งเมื่อวิถีเดิมยังดำรงอยู่
“คนเมืองอยู่ใกล้กันมากขึ้น เสียง กลิ่น และกิจกรรมเล็กน้อยอาจสร้างความเดือดร้อนได้โดยไม่รู้ตัว”
นักกฎหมายบางรายยังเสนอแนวทางว่า ควรปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจฐานราก โดยอาจมีระบบ “ใบอนุญาตกิจการขนาดเล็กในบ้านพัก” เพื่อให้คนหาเช้ากินค่ำสามารถทำมาหากินโดยไม่ต้องกลัวผิดกฎหมาย แต่ยังคงมาตรฐานสุขอนามัยที่ปลอดภัย
🧭 บทสรุป: บทเรียนจากกรณี “ไก่ปิ้งแสนห้า”
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงเส้นบาง ๆ ระหว่าง “สิทธิในการทำมาหากิน” และ “สิทธิในการอยู่อาศัยอย่างสงบ” ทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง —
ฝั่งเพื่อนบ้านต้องการความสงบและอากาศสะอาด
ฝั่งพ่อค้าต้องการเพียงแค่พื้นที่เล็ก ๆ เพื่อเลี้ยงชีพ
สิ่งที่สังคมควรเรียนรู้คือ การหาทางอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ ไม่ใช่เพียงการตีความกฎหมายอย่างแข็งทื่อ หรือการมองเพียงมุมเห็นใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง













