เปิดเบื้องหลังดราม่า “แม่ค้าไก่ปิ้ง” โดนปรับ 1.5 แสน เพื่อนบ้านแจ้งซ้ำหลายรอบ
📢 คืบหน้า! พ่อค้าแม่ค้าไก่ปิ้งถูกปรับ 1.5 แสน หลังเพื่อนบ้านร้องเรียน “บ้านมีไว้พักอาศัยไม่ใช่เสียบไม้ขายของ” สังคมถกเดือด ใครผิดใครถูก?
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ เมื่อมีรายงานข่าวว่า พ่อค้าแม่ค้าขายหมูปิ้ง-ไก่ปิ้งในพื้นที่เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ถูกเทศบาลออกหนังสือเรียกเก็บค่าปรับกว่า 159,000 บาท ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 หลังมีเพื่อนบ้านร้องเรียนว่าบ้านข้างเคียง “เปิดขายของโดยไม่ได้รับอนุญาต และก่อความเดือดร้อนรำคาญ”
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความขัดแย้งระหว่าง “ผู้ค้ารายย่อย” กับ “ผู้พักอาศัยในพื้นที่” เท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถามในวงกว้างว่า “เส้นแบ่งระหว่างการทำมาหากิน กับสิทธิของเพื่อนบ้านอยู่ตรงไหน?”
🏠 จุดเริ่มต้นของเรื่อง: เพื่อนบ้านร้องเรียน เพราะ “บ้านข้างๆ เปิดขายหมูปิ้ง”
ต้นเรื่องเริ่มจากบ้านหลังหนึ่งในเขตเทศบาลนครปากเกร็ด ซึ่งเจ้าของบ้านเปิดพื้นที่หน้าบ้านบางส่วนทำเป็นจุดเสียบไม้หมูปิ้งและไก่ปิ้ง เพื่อขายส่งให้ลูกค้าในย่านนั้นและรับออเดอร์จากตลาดนัดใกล้เคียง เป็นอาชีพหลักเลี้ยงครอบครัว
กิจการดำเนินไปมาหลายปีโดยไม่มีปัญหาใหญ่ จนกระทั่ง มีเพื่อนบ้านหญิงวัย 70 ปี ชื่อ “ป้าอี๊ด” ออกมาแจ้งร้องเรียนต่อเทศบาลนครปากเกร็ด โดยให้เหตุผลว่า
“บ้านหลังดังกล่าวเปิดทำกิจการเสียบหมู ปิ้งไก่ ส่งกลิ่นควันและเสียงดังรบกวน อีกทั้งลูกจ้างบางคนสูบบุหรี่ และพูดจาไม่สุภาพ ทำให้ตนรู้สึกไม่สบายใจมานาน”
หลังการร้องเรียน เจ้าหน้าที่เทศบาลได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ พบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการประกอบกิจการจำหน่ายอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งเข้าข่ายผิดตาม พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 มาตรา 79 ว่าด้วยการประกอบกิจการที่อาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญ
จากนั้นจึงมีหนังสือเรียกเจ้าของบ้านให้มาชำระค่าปรับเป็นเงินรวมกว่า 159,000 บาท สร้างความตกใจให้กับผู้ค้ารายย่อยและชาวบ้านในพื้นที่อย่างมาก
👩🦳 “ป้าอี๊ด” ยืนยันไม่ผิด! บอกแค่ต้องการความสงบในบ้านของตัวเอง
จากการให้สัมภาษณ์ของ “ป้าอี๊ด” ผู้ร้องเรียน เธอกล่าวอย่างหนักแน่นว่า
“บ้านมีไว้เพื่ออยู่อาศัย ไม่ใช่เพื่อทำมาค้าขาย ทุกวันต้องได้กลิ่นหมูปิ้ง กลิ่นควันเข้าบ้าน บางทีก็มีเสียงพูดคุยกันเสียงดัง ลูกจ้างยังสูบบุหรี่หน้าบ้านอีกต่างหาก”
เธอยังเปิดเผยว่า เคยถูกลูกจ้างของบ้านข้างเคียงด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย และถึงขั้นเกิดการกระทบกระทั่งทางร่างกาย ซึ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวและไม่อยากอยู่อย่างไม่สงบในบ้านของตัวเองอีกต่อไป
“ฉันไม่ได้เกลียดคนหาเช้ากินค่ำนะ แต่ถ้าจะทำงานก็ต้องไปทำในที่ที่เหมาะสม ไม่ใช่มาทำให้คนอื่นเดือดร้อน บ้านนี้ไม่ใช่ตลาด” ป้าอี๊ดย้ำชัด
🧍♀️ ด้านครอบครัวผู้ค้าหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง เผย “ขายเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ได้ตั้งโรงงาน!”
ในอีกมุมหนึ่ง ผู้ประกอบการที่ถูกเรียกเก็บค่าปรับ เผยทั้งน้ำตาว่า ตนและครอบครัวประกอบอาชีพนี้มานานกว่า 10 ปี ไม่เคยคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้ใคร การเสียบหมูเสียบไก่หน้าบ้านเป็นเพียงส่วนหนึ่งของขั้นตอนเตรียมของขายตอนเช้า และไม่ได้มีการตั้งร้านค้าขนาดใหญ่หรือเสียงดังรบกวนในเวลากลางคืน
“เราทำทุกอย่างภายในบ้าน ไม่ได้ใช้เครื่องเสียง ไม่ได้เปิดเพลง ไม่ได้ขายของส่งเสียงดัง แค่เสียบหมูตอนตี 4-ตี 5 แล้วเอาไปขายตลาดเช้าเท่านั้น”
“อยู่ดี ๆ มาโดนเรียกปรับเป็นแสน มันเกินไปไหมสำหรับคนหาเช้ากินค่ำแบบเรา?”
เจ้าของบ้านยืนยันว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้รับการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรจากเทศบาลมาก่อน จึงไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายจนกระทั่งได้รับหนังสือเรียกค่าปรับฉบับนี้
⚖️ มุมกฎหมาย: ผิดจริงไหม? ทำไมค่าปรับถึงสูงถึง 1.5 แสนบาท
นักกฎหมายท้องถิ่นได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรณีนี้อยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 มาตรา 79 และมาตรา 80 ซึ่งระบุว่า
“ผู้ใดประกอบกิจการที่อาจเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญในเขตชุมชน ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อวัน”
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขค่าปรับที่ออกมาสูงถึง 159,000 บาท อาจเกิดจากการ “สะสมค่าปรับรายวัน” ในช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการยังไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ซึ่งเทศบาลอาจคำนวณย้อนหลังหลายเดือนหรือปี
นักกฎหมายยังชี้ว่า หากผู้ค้ารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม สามารถ ยื่นอุทธรณ์หรือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อขอความเป็นธรรมและตรวจสอบการคำนวณค่าปรับได้
💬 เสียงจากชาวเน็ต: โซเชียลถกสนั่น “หาเช้ากินค่ำผิดตรงไหน?”
เมื่อข่าวนี้ถูกเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ ก็เกิดกระแสวิพากษ์อย่างร้อนแรง โดยเฉพาะในโลกโซเชียลที่มีการแชร์และคอมเมนต์นับหมื่นความเห็น
ชาวเน็ตบางส่วนแสดงความเห็นว่า การปรับเงินผู้ค้ารายย่อยในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ถือว่า “ไม่เห็นใจประชาชน” พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมเทศบาลไม่ใช้วิธีตักเตือนหรือช่วยหาทางแก้ไขก่อนที่จะปรับเงินมหาศาล
💬 “ขายหมูปิ้งหน้าบ้านโดนปรับเป็นแสน แต่บางร้านใหญ่ปล่อยให้ตั้งเตาเต็มถนนไม่เห็นโดนเลย”
💬 “เจ้าหน้าที่ควรให้โอกาสคนทำมาหากิน ไม่ใช่ทำให้คนจนกลายเป็นผู้ร้าย”
💬 “จริงอยู่บ้านคนอื่นไม่ควรถูกรบกวน แต่ค่าปรับขนาดนี้มันไม่สมเหตุสมผล”
อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกฝั่งหนึ่งที่เห็นต่าง โดยมองว่าการค้าขายภายในเขตที่อยู่อาศัยโดยไม่ขออนุญาตถือว่าผิดกฎหมาย และเพื่อนบ้านที่ร้องเรียนก็มีสิทธิ์ตามกฎหมายเต็มที่
💬 “อยู่หมู่บ้านจัดสรรต้องเคารพกฎ คนอื่นก็มีสิทธิ์อยากพักผ่อนเหมือนกัน”
💬 “ลองคิดกลับกัน ถ้าเราต้องได้กลิ่นควันทุกวันจะรู้สึกยังไง?”
🏛️ เทศบาลนครปากเกร็ดแจง ยืนยันดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง
ภายหลังเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เจ้าหน้าที่เทศบาลนครปากเกร็ดได้ออกมาชี้แจงว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่กำหนด โดยเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่จริง และได้ลงตรวจสอบก่อนพบว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่ขออนุญาตอย่างถูกต้อง
“เทศบาลไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้งใคร แต่หน้าที่ของเราคือดูแลให้พื้นที่อยู่อาศัยมีความสงบเรียบร้อย เป็นไปตามกฎหมาย หากผู้ประกอบการมีใบอนุญาตถูกต้อง ก็สามารถทำกิจการได้ตามระเบียบ”
นอกจากนี้ ยังระบุว่าผู้ประกอบการสามารถยื่นคำร้องขอลดหย่อนค่าปรับหรืออุทธรณ์ได้ หากมีหลักฐานแสดงว่าไม่ได้มีเจตนาฝ่าฝืนหรือไม่เคยได้รับหนังสือตักเตือนมาก่อน
🔍 มุมสังคมวิทยา: ความขัดแย้ง “เพื่อนบ้าน” ในยุคเมืองขยาย
นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังได้วิเคราะห์ว่า ปัญหานี้สะท้อนภาพ “ความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนเมือง” ที่พื้นที่อยู่อาศัยเริ่มผสมปนเประหว่างบ้านพักกับกิจการขนาดเล็กมากขึ้น
ในอดีต การค้าขายหน้าบ้านถือเป็นเรื่องปกติของชุมชนไทย แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป ความหนาแน่นของพื้นที่และมลภาวะเพิ่มขึ้น ทำให้ความอดทนของคนในเมืองลดลง และเกิดความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ เช่น ควันจากเตา เสียงดัง หรือที่จอดรถไม่เพียงพอ
“คนไทยยุคใหม่อยู่ในพื้นที่จำกัดมากขึ้น แต่ยังคงใช้วิถีแบบชุมชนเดิม นี่คือรอยต่อที่ทำให้เกิดปัญหาแบบนี้ซ้ำๆ”
💡 เสนอแนวทางแก้ไข: อยู่ร่วมกันได้ ต้องมี “สมดุล”
ผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมืองเสนอว่า รัฐและเทศบาลควรปรับกฎระเบียบให้ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น โดยออกแบบ “โซนค้าขายขนาดเล็กในเขตที่อยู่อาศัย” (Micro Business Zone) เพื่อรองรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการทำมาหากินในบ้านของตนเอง โดยไม่กระทบเพื่อนบ้าน
ในขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการก็ควรตระหนักถึงสิทธิของเพื่อนบ้าน เช่น จำกัดเวลาในการทำงาน ป้องกันกลิ่นควัน และสร้างมารยาททางสังคม เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนซ้ำอีก
💔 เสียงสะท้อนจากผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศ
หลังข่าวนี้เผยแพร่ ผู้ค้ารายย่อยจากหลายจังหวัดต่างออกมาแสดงความเห็นและความเป็นห่วง เพราะเกรงว่ากรณีนี้จะเป็น “บรรทัดฐานใหม่” ที่อาจกระทบต่อคนหาเช้ากินค่ำจำนวนมากที่ประกอบอาชีพในบ้าน
“เราขายข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าอพาร์ตเมนต์มานาน ถ้าโดนแบบนี้เราคงไม่มีทางจ่ายไหว”
“บางทีแค่ตักเตือนก็น่าจะเพียงพอ คนทำมาหากินไม่ได้ตั้งใจจะผิดกฎหมาย”
หลายคนยังเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยทบทวนแนวทางการบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและชีวิตของคนธรรมดาในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน
🔚 สรุป: เส้นบาง ๆ ระหว่าง “สิทธิของคนหาเช้ากินค่ำ” กับ “สิทธิของคนอยากอยู่สงบ”
กรณี “พ่อค้าไก่ปิ้งถูกปรับ 1.5 แสน” ไม่ใช่เพียงเรื่องกฎหมายหรือคดีธรรมดา แต่คือบทเรียนสำคัญของสังคมไทยในยุคที่ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในพื้นที่จำกัด
ทุกฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเอง —
ฝ่ายหนึ่งต้องการเพียงแค่ความสงบในบ้าน
อีกฝ่ายต้องการเพียงโอกาสในการทำมาหากิน
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นต่อจากนี้ คือการหาทางออกร่วมกันอย่างมีสติ ไม่ใช่การกล่าวโทษหรือแบ่งฝ่าย เพราะในท้ายที่สุด“ความอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ” คือรากฐานของสังคมที่ยั่งยืนที่สุด
















