“ทองคำร่วงแรงในรอบ 12 ปี! นักลงทุนเทขายทำกำไร ดอลลาร์แข็งฉุดราคาทองทรุดกว่า 300 ดอลลาร์ในวันเดียว”
“ทองคำร่วงแรงในรอบ 12 ปี! นักลงทุนเทขายทำกำไร ดอลลาร์แข็งฉุดราคาทองทรุดกว่า 300 ดอลลาร์ในวันเดียว”
ราคาทองคำทั่วโลกปรับตัวร่วงลงอย่างรุนแรงในวันอังคารที่ผ่านมา (21 ตุลาคม 2568) นับเป็นการปรับลดมากที่สุดภายในวันเดียวในรอบกว่า 12 ปี หลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึง 9 สัปดาห์ติด ทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล ก่อนที่นักลงทุนจำนวนมากจะเทขายทำกำไรออกมาอย่างหนัก
ระหว่างการซื้อขายในตลาด ราคาทองคำโกลด์สปอต (Gold Spot) ดิ่งลงเกือบ 300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381.21 ดอลลาร์ ลงมาแตะ 4,090.97 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการร่วงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 แม้ว่าภายหลังราคาจะดีดกลับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 4,115.26 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (-5.5%) แต่ก็ยังถือว่าเป็นการปรับตัวลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ขณะที่ทองคำโกลด์ฟิวเจอร์ปิดตลาดที่ 4,109.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลงกว่า 5.7%
สาเหตุสำคัญของการร่วงลงครั้งนี้ มาจากแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุน หลังราคาทองคำพุ่งแรงต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น โดยดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ขยับขึ้น 0.4% ส่งผลให้ราคาทองคำแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น จึงทำให้ความต้องการซื้อทองคำลดลง
“ราคาทองคำร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังจากความผันผวนเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนหลายรายเริ่มระมัดระวังและเลือกขายทำกำไรในระยะสั้น” — ไท หว่อง เทรดเดอร์โลหะอิสระ กล่าว
ขณะเดียวกัน บรรยากาศการลงทุนเริ่มผ่อนคลายลงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มคลี่คลาย หลังทั้งสองประเทศเตรียมบรรลุข้อตกลงทางภาษีก่อนเส้นตายวันที่ 1 พฤศจิกายน ทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำลง
แม้ราคาทองคำจะร่วงแรงในระยะสั้น แต่ตลอดปี 2568 ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยราคาปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 60% จากต้นปี สาเหตุจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก รวมถึงแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายประเทศ
ทั้งนี้ สถาบันการเงินและนักวิเคราะห์รายใหญ่ยังคงมองบวกต่อทองคำในระยะยาว โดยเชื่อว่าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมืองจะหนุนให้ราคาทองคำเดินหน้าขึ้นต่อไป หลายฝ่ายรวมถึง HSBC ประเมินว่า ราคาทองคำอาจแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในปีหน้า (2569) หากแรงซื้อจากธนาคารกลางยังคงมีต่อเนื่อง





















