กัมพูชา — เมืองหลวงของ “สแกมเมอร์โลก” หรือแค่เงื่อนงำการเมืองที่ยังไม่สะสาง?
กัมพูชา — เมืองหลวงของ “สแกมเมอร์โลก” หรือแค่เงื่อนงำการเมืองที่ยังไม่สะสาง?
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2568 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความประณามสถานการณ์การหลอกลวงข้ามชาติที่มีศูนย์กลางอยู่ในกัมพูชาอย่างรุนแรง เขาชี้ให้เห็นภาพกว้างว่า ประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ ที่หลอกลวงผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทย ซึ่งกลายเป็น “เหยื่อหลัก” มานานกว่า 10 ปี
ข้อความของนายชูวิทย์ไม่ได้เป็นเพียงเสียงตำหนิทั่วไป แต่แสดงความไม่พอใจต่อการจัดการของรัฐบาลไทยอย่างชัดเจน เขาระบุว่า ขบวนการเหล่านี้มีเครือข่ายข้ามชาติ ฝังตัวในเมืองต่าง ๆ ของกัมพูชา และมีหัวหน้าแก๊งที่เป็นชาวจีนคอยฟอกเงินเข้าไทยผ่านนอมินีและการซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาแพง ซึ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “ศูนย์กลางการฟอกเงิน” สำหรับโจรสแกมเมอร์เหล่านี้
ประเด็นที่น่าสังเกตคือการเทียบแนวทางการจัดการระหว่างประเทศต่าง ๆ — ชูวิทย์ยกตัวอย่างเกาหลีใต้ จีน สหรัฐฯ และอังกฤษ ที่ลงมือจริงจังถึงขนาดส่งเจ้าหน้าที่ไปรับตัวพลเมืองกลับ ตรวจสอบ และริบทรัพย์ผู้ต้องหา ในขณะที่รัฐบาลไทยถูกวิจารณ์ว่า “ทำเป็นเงียบ” หรือไม่บูรณาการการปราบปรามอย่างจริงจัง เท่าที่ควร
อีกน้ำเสียงหนึ่งในโพสต์ คือการตำหนิแกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสนใจกับการจัดวางกำลังการเมืองและผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผู้เขียนเตือนว่าหากรัฐบาลยังไม่ดำเนินการเด็ดขาด ปัญหานี้อาจกลายเป็นระเบิดการเมืองที่ทำลายความน่าเชื่อถือของคณะรัฐมนตรีได้เอง
ข้อเรียกร้องที่แฝงอยู่ในโพสต์นั้นมีสองมิติชัดเจน — หนึ่งคือการตั้งคำถามต่อความตั้งใจจริงของภาครัฐในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ และสองคือการย้ำว่าต้องมีการสืบสวนที่โปร่งใสถึงแหล่งเงิน การฟอกทรัพย์ และความเชื่อมโยงกับบุคคลระดับสูง หากพบหลักฐานต้องดำเนินคดีและริบทรัพย์อย่างเด็ดขาด
สิ่งที่โพสต์สะท้อนให้เห็นอย่างชัดคือความกังวลของสังคมทั้งในเรื่องความปลอดภัยของประชาชนและผลกระทบทางเศรษฐกิจ — เมื่อประชาชนสูญเสียเงินจำนวนมาก เศรษฐกิจระดับครัวเรือนได้รับผลกระทบ และภาพลักษณ์ของประเทศในมิติการยืนหยัดต่ออาชญากรรมข้ามชาติก็ถดถอยตามไปด้วย
ท้ายที่สุด เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนและนักการเมืองเช่นนี้ ควรเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐต้องลงมืออย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ประกาศตั้งคณะกรรมการหรือบอร์ด แต่ต้องมีการประสานงานระหว่างประเทศ ตรวจสอบเครือข่ายทางการเงิน และปกป้องผู้เสียหายอย่างจริงจัง หากไม่รีบดำเนินการ ประเทศอาจต้องเผชิญกับผลทางการเมืองและสังคมที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น
สำหรับรัฐบาล คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่จะตั้งคณะทำงานหรือไม่ แต่จะ ทำอย่างไรให้ผลการทำงานมีน้ำหนักและเห็นผลจริง — ไม่ใช่เป็นเพียงวาระ “เงียบ” ที่ปล่อยให้ปัญหาลุกลามไปจนกลายเป็นวิกฤตความเชื่อมั่น ทั้งนี้ หากรัฐสามารถแสดงให้เห็นถึงการลงมือจริง ร่วมกับการประสานระหว่างประเทศ ผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลือ และผู้กระทำต้องรับผิดชอบต่อกฎหมาย นั่นจะเป็นการพิสูจน์ว่าประเทศยังยืนหยัดปกป้องประชาชนของตนได้อย่างแท้จริง
อ้างอิงจาก: Facebook คุณ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์






















