“รักชนก” ถล่มจุดอ่อน–ท้าพิสูจน์บทบาท “กัน จอมพลัง” ขอให้ตามหาคนมีอำนาจจริง แก้ปัญหาชายแดน–ปราบแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา
“รักชนก” ถล่มจุดอ่อน–ท้าพิสูจน์บทบาท “กัน จอมพลัง” ขอให้ตามหาคนมีอำนาจจริง แก้ปัญหาชายแดน–ปราบแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา (บทความฉบับละเอียด)
วันที่ 17 ต.ค. 2568 — รักชนก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความถล่มประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “กัน จอมพลัง” ในหลายมิติ ตั้งคำถามความรับผิดชอบและความโปร่งใส ทั้งในเรื่องความเกี่ยวพันกับนักการเมือง การรับบริจาค การใช้ทรัพยากรของรัฐ รวมถึงบทบาทในการแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา และการปราบแก๊งสแกมเมอร์ที่เป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนในปัจจุบัน
หัวใจของข้อสงสัย: ไม่ยุ่งการเมืองจริงหรือ?
รักชนกชี้ว่าแก่นของปัญหาเริ่มจากคำกล่าวอ้างของกันที่ว่า “ไม่ยุ่งการเมือง” แต่ในทางปฏิบัติกลับมีเครือข่ายความสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับสูงและได้รับผลประโยชน์จากโครงการของรัฐหลายรายการ ซึ่งข้อมูลที่เธออ้างอิงรวมถึงรายการข่าวเชื่อมโยงธุรกิจของกันกับนักการเมืองบางคน และการรับงานที่เป็นการว่าจ้างเฉพาะเจาะจงจากหน่วยงาน เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งหากเป็นเรื่องจริง จะทำให้คำกล่าวอ้างว่า “ไม่ยุ่งการเมือง” ดูไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของรัฐ
รักชนกตั้งคำถามชัดเจนว่า หากคนใกล้ชิดของนักการเมืองได้รับงานพิเศษจากกระทรวงที่รัฐมนตรีดูแล จะยังยืนยันได้หรือว่ามิได้มีความเกี่ยวพันทางการเมืองหรือผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ โดยยกกรณีการใช้ฮอลิคอปเตอร์ของกระทรวงเกษตรเป็นตัวอย่างหนึ่งของการเข้าถึงทรัพยากรรัฐที่น่าสงสัย
เรื่องการรับบริจาค: โปร่งใสพอหรือยัง?
ในโพสต์ รักชนกระบุถึงรูปแบบการรับบริจาคของกันซึ่งมีโพสต์ประกาศรับสิ่งของและเงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง พร้อมสลิปและคอมเมนต์จำนวนมาก อีกทั้งยังแนบลิงก์เอกสารที่รวบรวมโพสต์บางส่วน เธอสะท้อนความกังวลว่าแค่การเปิดบัญชีและแสดงยอดอาจไม่เพียงพอที่จะยืนยันความโปร่งใส — รายการที่ซื้อ การประเมินราคาว่าถูกหรือแพง การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และการตรวจสอบว่ามีส่วนต่างหรือไม่ ล้วนเป็นประเด็นที่ควรได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือจากสังคมอย่างจริงจัง
รักชนกเตือนว่าประวัติศาสตร์มีตัวอย่างการใช้ความศรัทธาของประชาชนไปในทางที่ไม่คาดคิด การเปิดเผยรายละเอียดเชิงบัญชีและหลักฐานการใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องจำเป็นหากต้องการความชอบธรรม
ปมปัญหาใหญ่: ทำไมยังจัดการแก๊งสแกมเมอร์ไม่ได้?
หนึ่งในแก่นสำคัญของโพสต์คือการตั้งข้อสังเกตว่าการแก้ปัญหาชายแดนและการปราบแก๊งสแกมเมอร์ยังไม่บรรลุผล ทั้งที่มีความพยายาม “แสดงพลัง” หลายรูปแบบจากภาคประชาชนและผู้มีอิทธิพลบางคน รักชนกชี้ว่าถ้าเป้าหมายคือการทำลายระบบที่อาศัยรายได้จากการหลอกลวงข้ามชาติ การบิดเบือนหรือทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ (เช่น การเปิดเสียงดัง การแสดงออกทางสัญลักษณ์) อาจไม่ได้ผลเท่าการสืบสวนและทำลายเครือข่ายอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ
เธอจึงเรียกร้องให้กันใช้อิทธิพลของตน “ตามหาคนที่มีอำนาจตัวจริง” — ผู้ที่มีบทบาทจริงในการสั่งการและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น หน่วยงานความมั่นคง ผู้บริหารระดับสูงของรัฐ และนักการเมืองที่สามารถบูรณาการความร่วมมือระหว่างประเทศได้ แทนที่จะมุ่งไปที่การเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์เพียงอย่างเดียว
โจทย์การเมืองภายใน: ทำไมบางคนเงียบหรือเดินหนีไมค์?
รักชนกติงการตอบรับของผู้มีอำนาจบางคนต่อปัญหานี้ — บางคน “เดินหนีไมค์” บางคน “เงียบเป็นเป่าสาก” — และตั้งคำถามว่าการนิ่งเฉยเช่นนี้เกิดจากความลำบากใจ หรือเพราะมีความเชื่อมโยงหรือผลประโยชน์บางประการที่ทำให้ไม่กล้าจัดการจริงจัง เธอเรียกร้องให้คนที่มีบทบาทต้องออกมาชี้แจงอย่างโปร่งใส หากไม่มีอะไรต้องปกป้องก็ควรแสดงความร่วมมือในการแก้ปัญหา
เรียกร้องให้ใช้มาตรการเดียวกันกับผู้มีอำนาจ
รักชนกยังแสดงความไม่พอใจต่อการที่กันและแฟนคลับเคยกดดัน นักสิทธิมนุษยชนและผู้ที่กล้าพูดแตกต่างจากแนวคิดของกันอย่างรุนแรง เธอจึงท้าทายว่า หากกันสามารถใช้พลังเครือข่ายออนไลน์และอิทธิพลเล่นงานคนที่ไม่เห็นด้วยได้ ก็จงใช้วิธีการเดียวกันกับ “ผู้มีอำนาจ” ที่ควรจะถูกตรวจสอบ เช่น นายกรัฐมนตรีและนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ — หากมีหลักฐานหรือความเชื่อมโยงจริง ควรถูกเปิดเผยและติดตามตรวจสอบอย่างเท่าเทียม
ข้อเสนอเชิงนโยบายและบทสรุป
รักชนกสรุปว่า การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การทำลายแหล่งเงินของแก๊งสแกมเมอร์ การบังคับใช้กฎหมายข้ามประเทศ การประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศ และการตรวจสอบการใช้ทรัพยากรรัฐ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในมือของบุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นหนทางที่จะทำให้ปัญหาชายแดนและสแกมเมอร์หมดไปจริง ๆ
ท้ายที่สุดเธอย้ำว่า หากประชาชนและผู้มีอำนาจใช้พลังในทางที่ถูกต้อง มีการตรวจสอบโปร่งใส และมีการแยกบทบาทของคนทำงานสาธารณะออกจากการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ปัญหาที่เราพบวันนี้มีโอกาสคลี่คลายได้ — แต่ถ้าปล่อยให้ความขัดแย้งทางการเมืองและผลประโยชน์ทับซ้อนกินพื้นที่ ย่อมยากที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง






















