จริงหรือเฟก? สื่อกัมพูชาอ้าง “อังคณา” รับไทยใช้ F-16 โจมตี จุดกระแสเดือดโซเชียล
ดราม่าระอุ! “เพจ Army Military Force” โพสต์ชี้แจงกรณีสื่อกัมพูชาอ้างคำพูด “อังคณา นีละไพจิตร” ผิดเพี้ยน กล่าวหาว่าไทยใช้ F-16 โจมตีกัมพูชาก่อน จุดกระแสความเข้าใจผิดในโลกออนไลน์เพื่อนบ้าน
วันที่ 15 ตุลาคม 2568 — กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์อีกครั้ง หลังจากเพจ Army Military Force ซึ่งเป็นเพจที่ติดตามข่าวสารด้านความมั่นคงและกองทัพไทย ออกมาโพสต์ชี้แจงกรณีที่สื่อหลายแห่งในประเทศกัมพูชาเผยแพร่ข่าวอ้างคำพูดของ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ของไทย โดยระบุว่าเธอได้ “ยอมรับว่าไทยเป็นฝ่ายบุกโจมตีกัมพูชาก่อน” พร้อมทั้งอ้างถึงการใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 โจมตีเป้าหมายฝั่งกัมพูชา ซึ่งข่าวนี้ได้สร้างความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวกัมพูชา และก่อให้เกิดกระแสต่อต้านไทยอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์
📍 จุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิด
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นจากการที่สื่อกัมพูชาหลายสำนัก นำคำให้สัมภาษณ์บางส่วนของนางอังคณา นีละไพจิตร เกี่ยวกับประเด็น “ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” ไปตีความในลักษณะที่บิดเบือนจากบริบทเดิม โดยสื่อกัมพูชาได้พาดหัวข่าวในลักษณะ “สมาชิกวุฒิสภาไทยเปิดเผยความจริงว่าไทยเป็นฝ่ายบุกกัมพูชาก่อนด้วยเครื่องบิน F-16”
ข้อความดังกล่าวถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วผ่านเพจข่าวชื่อดังของกัมพูชา อาทิ
TNAOT
Troryorng TV
The News
ซึ่งทั้งหมดล้วนใช้ถ้อยคำที่ใกล้เคียงกัน โดยบางเพจถึงขั้นเขียนว่า “นางอังคณา นีละไพจิตร วุฒิสมาชิกไทย ยอมรับว่า ประเทศไทยเป็นผู้ก่อการร้ายต่อประเทศกัมพูชาก่อน และใช้เครื่องบินรบ F-16 พร้อมกระสุน MK-84 โจมตีประเทศกัมพูชา”
ข้อความเช่นนี้ถูกแชร์ต่อในกลุ่มสังคมออนไลน์ของกัมพูชาหลายหมื่นครั้ง และมีการคอมเมนต์ในเชิงเกลียดชังต่อประเทศไทยอย่างมากมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของ “ข่าวปลอม” หรือ “ข่าวบิดเบือน” ที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ระดับภูมิภาค
⚠️ Army Military Force โพสต์สวนกลับทันที ยืนยัน “ไม่เป็นความจริง”
ภายหลังข่าวดังกล่าวเริ่มแพร่สะพัด เพจ Army Military Force ได้โพสต์ภาพและข้อความตอบโต้ พร้อมอธิบายข้อเท็จจริง โดยระบุว่า
“สมใจป้ายังครับ คำพูดของป้าที่บอกว่าไทยใช้ F-16 โจมตีเขมร ตอนนี้มันย้อนกลับมาทำลายชาติเรา สื่อเขมรภายใต้การบริหารของลูกสาวฮุนเซน เอาคำพูดของป้าไปปั่นคนเขมร อ้างว่าป้ายอมรับว่าไทยโจมตีกัมพูชาก่อนโดยใช้เครื่องบิน F-16”
โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ติดตามในประเทศไทย มีทั้งผู้ที่แสดงความไม่พอใจต่อการบิดเบือนข้อมูลของสื่อกัมพูชา และผู้ที่มองว่าบุคคลสาธารณะของไทยเองก็ควรระมัดระวังในการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นละเอียดอ่อนด้านความมั่นคง เพราะคำพูดเพียงเล็กน้อยอาจถูกนำไปขยายความผิดๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังตึงเครียด
🧩 วิเคราะห์สถานการณ์ — เมื่อคำพูดกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่สื่อกัมพูชาใช้ประเด็น “ความขัดแย้งชายแดน” เพื่อสร้างกระแสทางการเมืองภายในประเทศ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน สื่อกัมพูชาหลายแห่งเพิ่งรายงานข่าวเกี่ยวกับ “สมเด็จฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” ที่พยายามชูภาพลักษณ์ของกัมพูชาในฐานะผู้ถูกรังแกจากเพื่อนบ้าน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาภายในประเทศ เช่น กรณีการถูกสหรัฐฯ และเกาหลีใต้กดดันอย่างหนักเรื่อง “อาชญากรรมไซเบอร์” และ “การค้ามนุษย์ในศูนย์หลอกลวงออนไลน์”
ดังนั้น เมื่อมีบุคคลในประเทศไทยออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชายแดน แม้จะไม่มีเจตนาโจมตี แต่ก็อาจกลายเป็น “ช่องโหว่” ที่สื่อบางกลุ่มในกัมพูชาใช้เพื่อขยายความให้ตรงกับ “ภาพที่รัฐบาลกัมพูชาอยากสื่อ” ซึ่งในกรณีนี้คือการชี้ว่า “ไทยเป็นฝ่ายรุกรานก่อน” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับท่าทีแข็งกร้าวของตนเองในเวทีโลก
🌐 โซเชียลกัมพูชาปั่นกระแสหนัก ไทยถูกกล่าวหาว่า “รุกราน”
หลังจากข่าวเท็จดังกล่าวแพร่กระจายบนโลกออนไลน์กัมพูชา มีผู้ใช้โซเชียลจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นในลักษณะโจมตีประเทศไทย เช่น “ไทยล้ำเส้นอธิปไตยกัมพูชา”, “ไทยควรถูกฟ้องต่อศาลโลก” และ “เราต้องปกป้องแผ่นดินของเรา”
ในบางโพสต์ของสื่อออนไลน์ เช่น Troryorng TV ยังมีการใส่คำบรรยายภาษาขแมร์ว่า
“សមាជិកព្រឹទ្ធសភាថេ ទទួលស្គាលថា ទេ វាយប្រហារកម្ពុជាមុន ប្រើទាំង F-16 ទៀត”
ซึ่งแปลว่า “สมาชิกวุฒิสภาไทยยอมรับว่าไทยโจมตีกัมพูชาก่อนโดยใช้ F-16”
ถ้อยคำนี้สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้คนในโลกออนไลน์ของกัมพูชาอย่างมาก โดยไม่ปรากฏว่ามีสื่อใดในประเทศนั้นออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือยืนยันต้นตอของคำพูดจริงๆ จากนางอังคณาแต่อย่างใด
🇹🇭 ฝั่งไทยชี้ “ต้องตรวจสอบก่อนแชร์” — คำพูดถูกบิดเบือนชัดเจน
เพจ Army Military Force ย้ำว่า ประชาชนทั้งสองประเทศควรระมัดระวังการเสพข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวที่มาจากสื่อที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ เพราะ “คำพูดของบุคคลสาธารณะ” สามารถถูกนำไปตัดต่อหรือแปลผิดเจตนาได้ง่าย และเมื่อถูกเผยแพร่ในสังคมที่มีความขัดแย้งเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งขยายความเกลียดชังให้รุนแรงขึ้น
เพจระบุเพิ่มเติมว่า
“กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างของการสร้างกระแสข่าวที่บิดเบือนความจริง และกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในบริบทความขัดแย้งชายแดน ซึ่งต้องใช้ความรอบคอบและสติเป็นอย่างมาก”
หลายความคิดเห็นในโพสต์ของเพจยังได้เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินการประท้วงทางการทูตกับรัฐบาลกัมพูชา หากพบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยเจตนา เพื่อไม่ให้ข่าวลวงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
🕊️ เสียงจากประชาชนไทย: “อย่าให้คำพูดคนเดียว ทำลายภาพรวมประเทศ”
หลังโพสต์ของ Army Military Force ถูกเผยแพร่ ชาวเน็ตไทยจำนวนมากได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น ทั้งในเชิงให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และในเชิงติติงไปยังนางอังคณา โดยระบุว่า ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา การให้สัมภาษณ์ในประเด็นละเอียดอ่อนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทุกคำพูดสามารถถูกนำไปใช้ในทางการเมืองได้
ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า“ถ้าคนระดับ ส.ว. พูดอะไรโดยไม่ระวัง มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนๆ เดียวแล้วนะ มันคือชื่อเสียงของประเทศทั้งหมด”
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า
“ข่าวแบบนี้ฝั่งโน้นเอาไปปั่นได้ง่ายมาก เพราะเขาต้องการเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาในประเทศตนเอง”
🧭 มุมมองนักวิเคราะห์: “สงครามข่าวสาร” ระหว่างไทย–กัมพูชาเริ่มชัดเจน
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงมองว่า เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” (Information Warfare) ที่ทั้งสองฝ่ายต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชากำลังเผชิญแรงกดดันจากประชาคมโลก ทั้งในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ
การสร้างกระแสว่า “ไทยเป็นฝ่ายรุกราน” จึงอาจเป็นวิธีหนึ่งในการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนในประเทศออกจากปัญหาภายใน พร้อมสร้างภาพให้กัมพูชาดูเหมือน “เหยื่อ” ที่ต้องต่อสู้กับเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่า
ขณะเดียวกัน ฝั่งไทยเองก็จำเป็นต้องใช้ช่องทางสื่อสารที่ถูกต้อง เช่น การออกแถลงการณ์จากกระทรวงต่างประเทศ หรือการสื่อสารผ่านสื่อระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวเท็จเหล่านี้กลายเป็น “ความจริงในสายตาคนต่างชาติ”
🧠 บทเรียนสำคัญ: การรู้เท่าทันสื่อในยุคข่าวปลอมครองโลก
เหตุการณ์ “ข่าวอ้างคำพูดผิด” ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของสังคมในยุคที่ข่าวสารเดินทางรวดเร็วกว่าเหตุผล เพราะแม้เพียงประโยคเดียวที่ถูกแปลผิด หรือถูกตัดต่อให้ผิดเจตนา ก็สามารถเปลี่ยนทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างรุนแรง
นักสื่อสารมวลชนไทยบางรายออกมาแสดงความเห็นว่า “สื่อจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น” โดยเฉพาะเมื่อรายงานเรื่องระหว่างประเทศ ควรตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข่าวและบริบทต้นฉบับก่อนนำเสนอ เพื่อป้องกันความเสียหายทางการทูตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
🔍 สรุปภาพรวม — ข่าวปลอมไม่ใช่เรื่องเล็ก
กรณีข่าวของ “อังคณา นีละไพจิตร” ที่ถูกสื่อกัมพูชาอ้างคำพูดผิดเพี้ยน เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “อิทธิพลข่าวปลอมในระดับภูมิภาค” ที่สามารถสร้างความเข้าใจผิดระหว่างประเทศได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และเป็นเครื่องเตือนใจให้ทั้งนักการเมือง สื่อมวลชน และประชาชนต้องร่วมกันตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อ
ในยุคที่ “ความเร็วของข่าว” มักชนะ “ความถูกต้องของข้อเท็จจริง” การรู้เท่าทันสื่อจึงไม่ใช่เพียงหน้าที่ของนักข่าวเท่านั้น แต่เป็น “ความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม”
สรุป:
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชาเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของข่าวบิดเบือนที่สามารถทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้เพียงปลายนิ้ว เมื่อคำพูดถูกแปลผิด ความจริงก็กลายเป็นอาวุธ และสิ่งเดียวที่สามารถป้องกันได้ คือ “สติและการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเชื่อ”
🕊️ “คำพูดที่ไม่ตรวจสอบ อาจกลายเป็นชนวนสงครามได้” — กรณีนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมทั้งสองประเทศเรียนรู้ที่จะรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ และไม่ปล่อยให้ข่าวเท็จครอบงำความจริงอีกต่อไป
อ้างอิงจาก: เพจ Army Military Force






















