ศร.ปวิน ถึงกับช็อก! โพลล์ถาม “กัน จอมพลัง” เหมาะนั่งนายก? คนแห่โหวตเพียบจนเจ้าตัวอึ้ง!
💥 “อกอีแป้นแทบระเบิด!” ศ.ปวิน ร่ายยาวหลังเห็นโพลยก “กัน จอมพลัง” ว่าที่นายกฯ สังคมอุดมคนโง่หรือขาดความเข้าใจโลก?
กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงบนโลกออนไลน์ เมื่อจู่ ๆ เกิดกระแสโพลสำรวจความคิดเห็นในโลกโซเชียล ที่มีเนื้อหาชวนสะดุ้งและเรียกเสียงฮือฮาทั้งวงการการเมืองและชาวเน็ต โดยโพลดังกล่าวถามว่า
“คุณคิดว่า กัน จอมพลัง เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่?”
เพียงไม่นานหลังจากถูกเผยแพร่ โพลนี้ก็มียอดแชร์และยอดโหวตจำนวนมหาศาล หลายคนกด “เห็นด้วย” ขณะที่อีกหลายฝ่ายตั้งคำถามอย่างเผ็ดร้อนว่า “เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย?” และ “เรากำลังยกย่องฮีโร่ตัวปลอมอยู่หรือไม่?”
หนึ่งในผู้ที่ออกมาแสดงความเห็นอย่างดุเดือดและตรงไปตรงมาที่สุดคือ ศาสตราจารย์ ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประจำมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักคิด นักวิพากษ์การเมืองไทยที่กล้าพูด กล้าชน และมักใช้ถ้อยคำคมกริบแบบไม่มีอ้อมค้อม
🔥 ศ.ปวิน ถึงกับ “อกอีแป้นแทบระเบิด” หลังเห็นโพลยกย่อง “กัน จอมพลัง”
เมื่อทราบข่าวเรื่องโพลดังกล่าว ศ.ปวินไม่รอช้า รีบโพสต์ข้อความร่ายยาวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเปิดหัวด้วยประโยคที่กลายเป็นไวรัลทันทีว่า
“มีคนทำโพลถามว่า กัน จอมพลัง สมควรเป็นนายกไหม?
อกอีแป้น! คนกดไลก์เพียบ!!
นี่คือสังคมอุดมคนโง่!”
ประโยคนี้ทำให้โซเชียลลุกเป็นไฟ มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่มองว่าศ.ปวินใช้คำพูดแรงเกินไป แต่เจ้าตัวไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เพราะในโพสต์เดียวกัน เขาได้อธิบายอย่างละเอียดว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผิดหวังและกังวลกับแนวคิดของสังคมที่ยกย่องคนอย่าง “กัน จอมพลัง” ให้กลายเป็น “ผู้นำในฝัน”
ศ.ปวินชี้ว่า ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่คนไทย “โง่” แต่เป็นเพราะสังคมไทย “ขาดความรู้” และ “ขาดการตระหนักรู้” เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ รวมถึงการทำความเข้าใจโลกในภาพรวมอย่างลึกซึ้ง
🌏 ปัญหาการศึกษาไทย: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ถูกซ่อนไว้ในประวัติศาสตร์ชาตินิยม
หนึ่งในประเด็นที่ศ.ปวินหยิบยกขึ้นมาคือ “ระบบการศึกษาของไทย” โดยเฉพาะการเรียนรู้ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations: IR) ที่มักถูกซ่อนอยู่ในวิชาประวัติศาสตร์ และถูกบิดเบือนด้วยแนวคิดแบบ “ชาตินิยมสุดโต่ง”
“ถ้ารู้เรื่อง IR ก็รู้แบบ Selective คือเลือกจำเฉพาะสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าไทยยิ่งใหญ่ ไทยไม่แพ้ใคร”
ศ.ปวินระบุ
เขาอธิบายว่า การมองโลกผ่านเลนส์ประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยว ทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อว่าสังคมไทยต้อง “ไม่ยอมแพ้ใคร” และมองประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว หรือเมียนมาในมุมลบ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือเรื่องของการ “อยู่ร่วมกัน” อย่างสันติ ไม่ใช่การ “เหนือกว่า” ใคร
🧠 นักการเมืองไทย “ไม่รู้-ไม่สน” เรื่องการทูต
ศ.ปวินยังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและไม่ให้ความสำคัญกับ “นโยบายต่างประเทศ” หรือ “การทูต”
“เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน นโยบายทางการทูต ไม่เคยอยู่ในการหาเสียงเลือกตั้งเลย”
แม้แต่ยุคที่หลายคนมองว่า “รุ่งเรือง” อย่างยุค “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ยังเป็นการทูตแบบ “ไทยเป็นศูนย์กลางจักรวาล” ขาดความเข้าใจในบริบทของประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีความพยายามเป็นมิตร แต่กลับกลายเป็นการแสดงอำนาจแบบแฝง ๆ
ศ.ปวินยังเสริมอีกว่า นักการเมืองหลายคนไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่อง “World Affairs” หรือเรื่องราวทางการเมืองระดับโลก เขาถึงกับกล่าวท้าว่า
“ครึ่งหนึ่งของ ส.ส. ในสภา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาเซียนมีกี่ประเทศ!”
ประโยคนี้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่ชาวเน็ตพูดถึงกันมาก เพราะสะท้อนถึงช่องว่างทางความรู้ที่ลึกกว่าที่คิด
🇰🇭 จากกัมพูชาถึงชายแดนไทย: การเมืองเรื่องชาตินิยมที่ย้อนศรความจริง
ศ.ปวินยังยกตัวอย่างเหตุการณ์ล่าสุด บริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและสังคม โดยมีกลุ่มคนบางส่วน—including “กัน จอมพลัง”—ออกมาเคลื่อนไหวอาสา “ปกป้องชาติ” และ “ยืนแนวหน้า”
แม้หลายคนจะมองว่าเป็นความกล้าหาญและเสียสละ แต่ศ.ปวินมองอีกมุมว่า การกระทำเช่นนี้มักถูกใช้เป็นเครื่องมือ “ปลุกกระแสชาตินิยม” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ฮีโร่ปลอมในสายตาประชาชน
“ประชาชนที่ไม่รู้เรื่อง IR มองความสัมพันธ์กับเขมรผ่านเลนส์ประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยว ก็จมอยู่กับชาตินิยมเพ้อฝัน ประเทศเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้น ดังนั้นเราต้องไม่แพ้ในทุกเรื่อง”
เขายังประชดประชันว่า “เราจะทำอะไรก็ได้เพื่อลดอำนาจฝ่ายตรงข้าม แม้แต่ใช้รถดูดขี้หรือซีดีเพลงผีเป็นอาวุธก็ตาม” — ประโยคนี้เรียกเสียงวิจารณ์สนั่น เพราะสะท้อนถึงความตลกร้ายในสังคมไทยที่บางครั้งไม่แยกแยะระหว่าง “ความกล้าหาญจริง” กับ “การแสดง”
📊 โพลล์ยก “กัน จอมพลัง” ว่าที่นายกฯ จุดสะท้อนของสังคมที่ขาดวิจารณญาณ?
หลายฝ่ายมองว่า การที่มีคนจำนวนมากเข้าร่วมโหวตและแสดงความเห็นเชิงบวกต่อ “กัน จอมพลัง” ในโพลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึง “ภาวะทางสังคม” ที่น่ากังวล คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อในสิ่งที่เห็นบนโซเชียลโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเป็นข่าวปลอม ข้อมูลบิดเบือน หรือกระแสปลุกเร้าอารมณ์
ศ.ปวินเตือนว่า นี่คือผลพวงของการ “ขาดกลไกทางรัฐ” ที่จะให้ความรู้เรื่องโลกและการเมืองระหว่างประเทศแก่ประชาชน
“ถ้าจะคุยว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์กลางแฟชั่น หรือซอฟต์เพาเวอร์ เราต้องเข้าใจการเมืองต่างประเทศก่อน”
“เราต้องรู้เรื่อง World Affairs และหน้าที่นี้คือของภาครัฐ ที่ต้องให้ความรู้ เพื่อที่ชาวบ้านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของอินฟลูฯ ตลาดล่าง จนถึงขั้นยกย่องใครบางคนว่าเหมาะเป็นนายกฯ ทั้งที่ไม่เข้าใจบทบาทผู้นำเลยด้วยซ้ำ”
🗣️ เสียงสะท้อนจากชาวเน็ต: เห็นด้วย – ไม่เห็นด้วย แต่ทุกคนพูดถึง!
หลังโพสต์ของศ.ปวินถูกเผยแพร่ โลกโซเชียลก็เดือดทันที บางคนออกมาแสดงความคิดเห็นเห็นด้วยกับอาจารย์ โดยบอกว่า “พูดแรงแต่จริง” และ “ถึงเวลาที่คนไทยต้องเลิกหลงภาพลวงตา”
ขณะเดียวกัน ก็มีบางกลุ่มมองว่า ศ.ปวินใช้ถ้อยคำรุนแรงเกินไป และไม่ควรดูถูกประชาชนว่า “โง่” เพราะการเลือกที่จะชื่นชมใครสักคน อาจมาจากความศรัทธาและความเชื่อส่วนตัว ไม่ใช่เพราะไม่รู้
แต่ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ประเด็นนี้ได้กลายเป็นจุดพูดถึงใหญ่ในวงการการเมืองไทย และทำให้หลายคนเริ่มหันกลับมาทบทวนว่า “ผู้นำที่แท้จริง” ควรมีคุณสมบัติแบบไหนกันแน่
🧭 ถึงเวลาสังคมไทย “ตื่นรู้” ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ในช่วงท้าย ศ.ปวินได้ฝากข้อคิดสำคัญว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยควรตื่นรู้เรื่อง “การเมืองโลก” เพราะมันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก—ตั้งแต่สงคราม เศรษฐกิจ การค้า ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ—ล้วนส่งผลต่อชีวิตของคนไทยโดยตรง
“มันไม่ไกลตัวคุณเลย มันจับต้องได้ ถ้าอยากเป็นศูนย์กลางซอฟต์เพาเวอร์จริง คุณต้องเข้าใจโลก ไม่ใช่แค่พูดว่าเรารักชาติแล้วพอ”
ศ.ปวินยังย้ำว่า “ฮีโร่ตัวจริง” ของชาติ ไม่ใช่คนที่สร้างภาพด้วยการลงพื้นที่เสียงดังหรือถือธงชาติ แต่คือคนที่ใช้ความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
📌 สรุป: ปรากฏการณ์ “กัน จอมพลัง” กับคำถามใหญ่ของสังคมไทย
กรณีนี้อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันสะท้อนถึง “รากลึกของปัญหาทางสังคม” ทั้งในด้านการศึกษา การเมือง และวัฒนธรรมของการยกย่องบุคคลโดยไม่ตั้งคำถาม
คำถามที่ศ.ปวินทิ้งท้ายไว้
“ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะตื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ?”
อาจเป็นคำถามที่ไม่ใช่แค่เพื่อโจมตีใคร แต่เป็นการชวนให้คนไทยทุกคน “คิด” ว่า ในยุคที่ข้อมูลไหลเร็ว ความรู้เท่าทันคือพลังสำคัญที่สุด
เพราะบางที... “ความรักชาติ” ที่แท้จริง อาจไม่ใช่การตะโกนเสียงดังว่า “เรารักชาติ”
แต่คือการ “เข้าใจโลก” และรู้ว่าชาติจะอยู่รอดได้อย่างไรท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปทุกวัน





















