ฮุน เซน เงียบสนิท ปม “ฐานสแกมเมอร์กัมพูชา” – นักวิชาการชี้อาจโยนความผิดให้จีน ไทยควรใช้จังหวะนี้สร้างบทบาทบนเวทีโลก
ฮุน เซน เงียบสนิท ปม “ฐานสแกมเมอร์กัมพูชา” – นักวิชาการชี้อาจโยนความผิดให้จีน ไทยควรใช้จังหวะนี้สร้างบทบาทบนเวทีโลก
สถานการณ์ “สแกมเมอร์ในกัมพูชา” กลายเป็นประเด็นร้อนระดับนานาชาติ หลังหลายประเทศ ทั้ง สหรัฐฯ อังกฤษ และเกาหลีใต้ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาเร่งจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้พื้นที่กัมพูชาเป็นฐานใหญ่ในการลักพาตัว ค้ามนุษย์ และหลอกลวงออนไลน์ แต่ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเพ่งเล็ง “ฮุน เซน” อดีตนายกฯ และ “ฮุน มาเนต” ผู้นำคนปัจจุบัน กลับ เลือกที่จะนิ่งเงียบ
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า
การที่ “ฮุน เซน” ไม่ออกมาชี้แจงใด ๆ ทั้งที่เรื่องนี้ลุกลามไปทั่วโลก อาจเป็นเพราะ “คิดคำแก้ตัวไม่ออก” และกำลังเตรียมหาทาง “โยนความผิดให้จีน” เพื่อเบี่ยงเบนความรับผิดชอบออกจากรัฐบาลกัมพูชา
เขามองว่า กัมพูชามักเล่นบท “เหยื่อ” อยู่เสมอ พยายามสร้างภาพว่าเป็นประเทศเล็กที่น่าสงสาร ถูกไทยหรือชาติมหาอำนาจรังแก ทั้งที่แท้จริงแล้วภายในคือ “รัฐอันธพาล – รัฐอาชญากรรม” ที่มีเครือข่ายค้ามนุษย์และสแกมเมอร์เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของระบอบ “ฮุน เซน – ฮุน มาเนต” โดยตรง
นอกจากนี้ อ.ดุลยภาคยังชี้ว่า การที่ฮุน เซน และครอบครัว คุมสื่อภายในประเทศทั้งหมด ทำให้การนำเสนอข่าวด้านเดียวเป็นเรื่องง่าย พวกเขาสามารถสร้างภาพหรือแก้ตัวได้ทุกเมื่อ แต่การเลือกที่จะ “เงียบ” ในเวลานี้ สะท้อนถึงความลำบากใจ และอาจเป็นสัญญาณว่า “ฮุน เซน” ยังไม่รู้จะอธิบายต่อประชาคมโลกอย่างไร
ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของกัมพูชากำลังตกต่ำอย่างรุนแรงจากการถูกหลายประเทศโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ เกาหลีใต้ ที่ประกาศยุติความร่วมมือหลายโครงการ รวมถึงการสั่งห้ามพลเมืองเดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยงในกัมพูชา
รศ.ดุลยภาค เสนอว่า นี่คือ “โอกาสสำคัญของไทย” ที่ควรเสนอตัวเข้าร่วมปฏิบัติการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา ร่วมกับสหรัฐฯ อังกฤษ และเกาหลีใต้ เพื่อสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก ให้ชัดเจนในฐานะประเทศที่ยืนอยู่ข้างความยุติธรรม และใช้แรงกดดันร่วมกับนานาชาติผลักดันให้รัฐบาลกัมพูชารับผิดชอบต่อปัญหานี้อย่างจริงจัง
“นี่อาจเป็นจังหวะทองของไทย ที่จะเปลี่ยนจากผู้สังเกตการณ์ เป็นผู้นำในภูมิภาค ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และฟื้นฟูภาพลักษณ์ของอาเซียนให้กลับมาน่าเชื่อถืออีกครั้ง”
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชชกล่าวทิ้งท้าย





