ถังขยะเขมรเต็มไปด้วยหนังสือเดินทาง

     ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ลักพาตัว ฉ้อโกง และ การกักขังชาวต่างชาติ เกิดขึ้นบ่อยครั้งในกัมพูชา โดยภาพที่กำลังเป้นไวรัลไปทั่วโลกในตอนนี้ คือ ภาพของถังขยะที่เต็มไปด้วย หนังสือเดินทางต่างชาติ... ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ชาวเน็ตเกิดความสงสัยว่า "อาจมีความเชื่อมโยงกับแก๊งอาชญากร"

     โดยสื่อเกาหลีใต้และไทย กล่าวรายงานตรงกันว่า "หนังสือเดินทางส่วนใหญ่เป็นเอกสารของไทย และ ภาพดังกล่าวน่าจะถ่ายที่ปอยเปต บริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย"

     โดยภาพดังกล่าวถูกชาวเน็ตคนหนึ่ง อัพลงบน X โดยอ้างว่าเป็น "หนังสือเดินทางที่พบในถังขยะในประเทศกัมพูชา" ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นหนังสือเดินทางจากหลายประเทศ ปะปนอยู่กับขยะในครัวเรือน โพสต์ดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยหลายคนแสดงความกังวลว่า "มันน่าเศร้าเกินไป ที่นักเดินทางจะสูญเสียหนังสือเดินทาง" และ "ดูเหมือนว่าปัญหาการลักพาตัว จะร้ายแรงมากในกัมพูชา..."

     กรมตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจกัมพูชา ได้ออกมากล่าวว่า "หนังสือเดินทางส่วนใหญ่นั้นหมดอายุแล้ว ถือครองโดยผู้ถือที่มีอายุระหว่าง 29 ถึง 40 ปี และ มีวันหมดอายุอยู่ระหว่างปี 2019 ถึง 2022"

     ปอยเปตซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย มีชื่อเสียงด้านคาสิโนและการหลอกลวง ในอดีต ชาวต่างชาติจำนวนมาก ถูกหลอกล่อให้เข้ามาในพื้นที่ ด้วยการหลอกลวงที่เสนอ "งานในต่างประเทศที่ให้ค่าตอบแทนสูง" และต่อมาถูกควบคุมตัว ทำร้ายร่างกาย และ แม้กระทั่งเรียกค่าไถ่ ชาวเกาหลีใต้หลายคนได้รับการช่วยเหลือ รวมถึงเหยื่อที่ถูกควบคุมตัวอย่างผิดกฎหมาย นานถึง 100 วัน

     กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า "เหตุการณ์ลักพาตัวและกักขังชาวเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีคดีประมาณ 10-20 คดีในปี 2022 เพิ่มขึ้นเป็น 220 คดีในปีที่แล้ว  และ เพิ่มขึ้นเป็น 330 คดีในเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยเหยื่อจำนวนมากถูกหลอกล่อให้เดินทางมากัมพูชา ด้วยคำมั่นสัญญาว่า จะได้งานในต่างประเทศที่มีรายได้สูง แล้วสุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรม"

     เนื่องจากสถานการณ์ที่เลวร้ายลง กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ จึงได้ยกระดับพื้นที่กรุงพนมเปญ ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้ "คำเตือนการเดินทาง" ระดับที่ 2 เป็น "คำเตือนการเดินทางพิเศษ" ในเย็นวันที่ 10 ของเดือนนี้ และ ขอความร่วมมือให้ประชาชนงดเดินทางไปกัมพูชา เว้นแต่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายแก่ชีวิต...

อ้างอิง : jinbiannews