เหยื่อชาวเกาหลีใต้เปิดโปงเครือข่ายอาชญากรรมในกัมพูชา การทรมาน ตัดนิ้ว ถอดเล็บ และการค้าชิ้นส่วนอวัยวะ ถูกกล่าวหาเป็นกิจวัตรของแก๊งหลอกลวง
เหยื่อชาวเกาหลีใต้ที่เคยถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชาออกมาแฉความโหดร้ายของเครือข่ายอาชญากรรมที่หลอกลวงแรงงานเพื่อบีบรีดและใช้แรงงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้เสียหายเล่าว่าไม่ได้เป็นเพียงการทำงานหนักหรือการเอาเปรียบเท่านั้น แต่มีการทารุณร่างกายขั้นรุนแรง เช่น การถอดเล็บ ตัดนิ้ว ทำร้ายจนพิการ และในบางกรณีมีรายงานว่าเหยื่อถูกบังคับให้ขายอวัยวะเมื่อต้องการเงินหรือเมื่อไม่สามารถทำงานได้ตามเป้า.
เหยื่อบางส่วนระบุว่าพวกเขาถูกพาไปยังพื้นที่ชายแดน เช่น ปอยเปตและบาเวต สถานที่เหล่านี้กลายเป็นจุดส่งต่อผู้ที่เป็นหนี้หรือไม่สามารถหาเงินให้เครือข่ายได้ และยังมีการกล่าวถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่มีเครือข่ายหลอกลวงหนาแน่น เช่น กรุงพนมเปญ สีหนุวิลล์ และภูเขาโบกอร์ในจังหวัดกำปอต ซึ่งบางคนระบุว่าเป็นจุดที่มีการค้าบัญชีธนาคารและเป็นจุดปลายทางของการค้าคนด้วย.
คำให้การจากพยานและอดีตสมาชิกของเครือข่ายบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รูปแบบการกระทำผิดไม่ได้จำกัดแค่การหลอกลวงออนไลน์หรือการบังคับทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการซื้อขายมนุษย์และการส่งต่อเหยื่อให้เครือข่ายอื่นเพื่อนำไปรีดไถหรือจำหน่ายอวัยวะ รายงานบางฉบับยกตัวเลขเครือข่ายว่าอาจมีหลายร้อยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ ภายในประเทศ ซึ่งลักษณะการทำงานมักเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การตั้งคอลเซนเตอร์หลอกลวง และการล่อลวงด้วยตำแหน่งงานหรือความสัมพันธ์ออนไลน์.
กรณีความรุนแรงที่กลายเป็นข่าวใหญ่ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้และหน่วยงานสิทธิมนุษยชนต้องเร่งตรวจสอบ ข้อมูลจากสื่อเกาหลีและสากลระบุว่าจำนวนเหยื่อชาวเกาหลีที่ถูกล่อลวงหรือถูกกักขังในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปีหลัง ๆ และมีการตั้งข้อสังเกตถึงการล้มเหลวของมาตรการป้องกันทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับข้ามชาติ ซึ่งนำไปสู่ความพยายามของเกาหลีใต้ที่จะตั้ง “เคาน์เตอร์เกาหลี” หรือหน่วยประสานงานตำรวจในกัมพูชาเพื่อรับมือกับเครือข่ายเหล่านี้และช่วยเหลือผู้เสียหาย.
นักกฎหมายและองค์กรสิทธิมนุษยชนเตือนว่าปัญหานี้มีหลายมิติ ทั้งการค้ามนุษย์ การฟอกเงินข้ามชาติ การจัดตั้งคอมพาวด์หรือสถานที่กักขังที่ทำงานเป็นระบบ และการใช้แรงงานบังคับในเชิงอุตสาหกรรมข่าวลวงออนไลน์ เรียกร้องให้ทั้งสองประเทศร่วมมือในการสืบสวน ติดตามตัวผู้กระทำผิด และการคุ้มครองเหยื่ออย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการทำงานร่วมกันเพื่อล้มระบบการฟอกเงินและการซื้อขายบัญชีธนาคารที่เป็นต้นทางของการกระทำผิด.
เสียงจากครอบครัวผู้เสียหายและผู้ที่รอดชีวิตสะท้อนความหวาดกลัวและความไม่มั่นคง หลายคนเรียกร้องให้มีการผลักดันมาตรการคุ้มครองแรงงานข้ามพรมแดนและการให้ข้อมูลเตือนภัยแก่ผู้ที่อาจถูกล่อลวงด้วยข้อเสนอเรื่องงานหรือรายได้สูงโดยไม่ผ่านช่องทางที่น่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐของกัมพูชาได้รับแรงกดดันให้เร่งดำเนินคดีและป้องกันไม่ให้คลังอาชญากรรมเชิงระบบแพร่ขยายต่อไป.
ความจริงของเหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณ์การหลอกลวงแบบข้ามชาติและการค้ามนุษย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้เป็นปัญหาเล็กน้อยอีกต่อไป มาตรการที่จำเป็นต้องทำทันทีรวมถึงการเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ การติดตามการไหลของเงินและบัญชีที่เกี่ยวข้อง การช่วยเหลือและฟื้นฟูเหยื่อ และการปรับปรุงการเตือนภัยและการศึกษาให้กับประชาชนผู้เสี่ยง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เรื่องราวที่สะเทือนใจเช่นนี้ต้องเกิดซ้ำและสูญเสียชีวิตอีกต่อไป.






















