บุ๋ม ปนัดดา ท้า “สว.อังคณา” ลงพื้นที่ชายแดน — จะได้เห็นความจริงของความสูญเสียที่คนไทยต้องเผชิญ
กระแสวิพากษ์ร้อนแรงจากโลกโซเชียลปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี นักแสดงและนักสังคมสงเคราะห์ชื่อดัง ออกมาแสดงจุดยืนอย่างหนักแน่นต่อกรณี “สว.อังคณา” ที่ออกมาวิพากษ์การดำเนินงานของฝ่ายไทยในประเด็นชายแดน โดยบุ๋มกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า หาก สว.อังคณา ลงพื้นที่ชายแดนจริง ๆ จะได้เห็นความสูญเสียที่แท้จริงของคนไทยที่ต้องอยู่กับเสียงระเบิด ทุ่นสงคราม และความไม่มั่นคงมานานหลายสิบปี
บุ๋ม ปนัดดา ระบุว่า คนไทยที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยเกิดการสู้รบกับกัมพูชา เช่น บริเวณเขาพระวิหาร หนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง หลายครอบครัวต้องเสียดวงตา แขน หรือขา จากทุ่นระเบิดที่ถูกฝังไว้ตั้งแต่ยุคสงคราม บางครอบครัวไม่มีแม้แต่ที่ดินทำกินเพราะพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตพิพาท จนไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้
“สว.อังคณาเคยเห็นมั้ยว่าชาวบ้านแถวนั้นเขาอยู่กันยังไง เขาเสียอะไรไปบ้าง มีคนตายเพราะระเบิดมากกว่าที่สื่อเขมรพูดเสียอีก คนที่เจ็บปวดจริง ๆ คือคนไทยที่อยู่ตรงนั้น ไม่ใช่ใครที่นั่งพูดอยู่ในห้องประชุมกรุงเทพฯ” บุ๋มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บุ๋ม ปนัดดา ยังชี้ว่า ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา อังคณาควรใช้ตำแหน่งในการเป็นกระบอกเสียงแทนประชาชนไทย มากกว่าที่จะออกมาให้ความเห็นไปในทิศทางที่เหมือนเข้าข้างต่างชาติ เพราะคนที่รอความช่วยเหลือและความเข้าใจจากรัฐบาลคือคนไทยที่ต้องเผชิญความจริงอันโหดร้ายทุกวัน
หลายพื้นที่ตามแนวชายแดนยังมีทุ่นระเบิดที่ถูกฝังไว้ตั้งแต่ช่วงสงครามไทย–กัมพูชาในทศวรรษ 2520–2530 ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถเก็บกู้ได้หมด หน่วยงานเก็บกู้ระเบิดต้องเสี่ยงชีวิตทำงานทุกวัน เพื่อให้พื้นที่กลับมาเป็นที่ปลอดภัยและสามารถพัฒนาได้อีกครั้ง แต่ระหว่างที่การเก็บกู้ยังดำเนินอยู่ ก็ยังมีชาวบ้านต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกับระเบิดเก่าเหล่านี้อยู่เป็นระยะ
บุ๋มยังกล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านในหลายจังหวัดชายแดน เธอเห็นกับตาว่าคนไทยจำนวนมากต้องอยู่กับความยากจนและความไม่มั่นคงทางชีวิต ทั้งยังถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยสงคราม “เราไม่ได้ต้องการให้ใครเกลียดชังเพื่อนบ้าน แต่เราควรพูดความจริง ว่าใครคือคนที่ต้องทนทุกข์ ใครคือคนที่เสียสละ”
ในขณะที่สังคมบางส่วนอาจมองว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความเห็นต่างทางสิทธิมนุษยชน แต่สำหรับบุ๋ม ปนัดดา นี่คือเรื่องของชีวิตและความจริงที่ไม่อาจมองข้าม เธอย้ำว่าการเป็น สว. ไม่ควรพูดจากข้อมูลฝ่ายเดียว หรือฟังเพียงรายงานจากองค์กรสิทธิบางกลุ่ม เพราะสิ่งที่ชาวบ้านต้องการไม่ใช่คำพูด แต่คือการเห็นตัวแทนของพวกเขาออกมารับฟังความเดือดร้อนอย่างแท้จริง
หลายคนในสังคมแสดงความเห็นสนับสนุนบุ๋ม โดยระบุว่าการลงพื้นที่คือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจะได้เห็นสภาพจริงของชายแดนไทยที่ยังมีความเสี่ยงต่อชีวิต ความยากจน และผลกระทบจากสงครามที่ยังไม่สิ้นสุด แม้ผ่านมาแล้วหลายทศวรรษ
ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นช่องว่างระหว่าง “ผู้กำหนดนโยบายในเมืองหลวง” กับ “ประชาชนตามชายแดน” อย่างชัดเจน เสียงของบุ๋มอาจเป็นตัวแทนของคนจำนวนมากที่ต้องการให้ผู้มีอำนาจลงมาดูของจริง ไม่ใช่เพียงรับฟังรายงานหรือคำบอกเล่าจากสื่อใดสื่อหนึ่ง
ท้ายที่สุด บุ๋ม ปนัดดา ฝากคำท้าอย่างหนักแน่นต่อ สว.อังคณา ว่า หากกล้าพอ ก็ขอให้เดินทางไปยังหมู่บ้านที่ติดชายแดนจริง ๆ ไปคุยกับชาวบ้านที่เสียลูก เสียพ่อ เสียแม่จากทุ่นระเบิด ไปดูพื้นที่ทำกินที่ถูกปิดกั้นเพราะเขตพิพาท และไปเห็นกับตาว่า คนไทยต้องเผชิญอะไรบ้างในแต่ละวัน
“อย่าตัดสินจากข่าว หรือเสียงจากฝั่งเดียว เพราะทุกชีวิตที่เสียไปตรงชายแดนคือคนไทย เหมือนกับพวกเราในกรุงเทพฯ แต่อาจไม่มีใครได้ยินเสียงพวกเขาเลย” บุ๋มกล่าวทิ้งท้าย
เสียงท้าของบุ๋ม ปนัดดา ครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ต่อถ้อยคำของ สว.อังคณา แต่ยังเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนมากที่รู้สึกว่าความเจ็บปวดของพวกเขาถูกละเลยมานาน — เสียงที่ต้องการเพียงให้ผู้แทนของชาติ หันกลับมามองคนไทยก่อนที่จะมองใครอื่น.

















