ชีวประวัติ “ฮุน เซน” ผู้นำเหล็กแห่งกัมพูชา จากเด็กวัดสู่ผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในอาเซียน
ชีวประวัติ “ฮุน เซน” ผู้นำเหล็กแห่งกัมพูชา จากเด็กวัดสู่ผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในอาเซียน
ฮุน เซน เป็นบุคคลที่ชื่อเสียงของเขาผูกพันกับประวัติศาสตร์กัมพูชาแทบทุกยุค ตั้งแต่สงครามเย็นจนถึงศตวรรษที่ 21 จากลูกชาวนาในหมู่บ้านเล็ก ๆ สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจยาวนานกว่า 38 ปี เขาคือภาพสะท้อนของประเทศที่ผ่านทั้งสงคราม ความยากจน และการสร้างชาติใหม่
จากเด็กวัดกำปงชาม สู่เส้นทางนักรบ
ฮุน เซน เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 1952 ที่หมู่บ้านเปียมคะโหนง อำเภอสตึงตรัง จังหวัดกำปงชาม ครอบครัวเป็นชาวนา บิดาชื่อ “ฮุน เนียง” เคยเป็นพระภิกษุ ส่วนมารดาชื่อ “ดี ยอน” เป็นชาวนาในท้องถิ่น เขาเป็นลูกคนที่สามจากพี่น้องหกคน ชีวิตวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยครอบครัวทำนาและใช้ชีวิตในวัด
เมื่ออายุได้ 13 ปี เขาตัดสินใจเดินทางเข้าสู่กรุงพนมเปญเพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษา ใช้ชีวิตเป็นเด็กวัดในวัดเนียะเกาะอวน (Neakavoan Pagoda) และเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาในเมือง แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในยุค 1960s เขาต้องหยุดเรียนกลางคัน
ในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ฮุน เซนเข้าร่วมกับกลุ่มเขมรแดงเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลลอน นอล ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ เขามีความกล้าหาญและได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อระบอบเขมรแดงขึ้นสู่อำนาจในปี 1975 เขากลับพบกับความโหดร้ายของระบบสังหารหมู่ที่คร่าชีวิตประชาชนหลายล้านคน
เขาถูกส่งไปรบที่แนวหน้าและได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียดวงตาซ้ายหนึ่งข้าง แต่ประสบการณ์ในช่วงนั้นทำให้เขาเริ่มไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพล พต และตัดสินใจหลบหนีไปยังเวียดนามในปี 1977 เพื่อขอความช่วยเหลือในการต่อต้านเขมรแดง
การร่วมมือกับเวียดนาม และการได้รับทุนจากประเทศไทย
ระหว่างที่พำนักอยู่ในเวียดนาม ฮุน เซนได้เข้าร่วมกับแนวร่วมกู้ชาติกัมพูชา (Front for the National Salvation of Kampuchea) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฮานอย เขามีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับกองทัพเวียดนามและจัดตั้งรัฐบาลเงาเพื่อเตรียมยึดอำนาจคืนจากเขมรแดง
ในช่วงปี 1978–1979 ก่อนที่เวียดนามจะนำกองกำลังเข้ายึดพนมเปญ ฮุน เซนได้ถูกส่งตัวไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การบริหารและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านโครงการฝึกอบรมร่วมที่รัฐบาลเวียดนามจัดขึ้นกับฝ่ายทหารไทยในยุคนั้น
แหล่งข้อมูลจากเอกสารทหารระบุว่า “ฮุน เซน” เป็นหนึ่งในชาวกัมพูชาที่ได้รับ “ทุนการศึกษาแลกเปลี่ยนทางทหาร” ผ่านช่องทางกองทัพไทย ซึ่งในขณะนั้นไทยเปิดรับนักศึกษาทหารต่างชาติจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วนภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือทางทหารในยุคสงครามเย็น
ภายหลังการฟื้นฟูประเทศ กองทัพไทยยังได้มอบทุนการศึกษาพิเศษในโควตาของกองทัพบกให้แก่ “ฮุน มาเนด” บุตรชายของฮุน เซน ในปี 1995 เพื่อไปศึกษาที่ โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ (West Point) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โควตาทุนกองทัพไทย” ที่ไทยแบ่งให้กัมพูชาในช่วงเวลานั้น ถือเป็นกรณีพิเศษที่คนกัมพูชาได้รับสิทธินี้ก่อนคนไทยบางส่วนด้วยซ้ำ
การที่ฮุน มาเนดได้เรียนเวสต์พอยต์จากโควตาทุนไทยนี้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ทางการเมืองและการทหารระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่แม้ทั้งสองประเทศจะมีความตึงเครียดตามแนวชายแดนหลายครั้ง แต่ระดับผู้นำกลับมีสายสัมพันธ์แนบแน่นในระดับบุคคล
การขึ้นสู่อำนาจ และยุคแห่งการสร้างประเทศ
หลังเวียดนามโค่นล้มเขมรแดงในปี 1979 ฮุน เซนได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลใหม่ และเพียงหกปีต่อมาในปี 1985 เขาก็ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ด้วยวัยเพียง 33 ปี ซึ่งถือเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
เขามีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม การเจรจาสันติภาพปารีสปี 1991 และการเลือกตั้งภายใต้การดูแลของสหประชาชาติในปี 1993 แม้พรรค CPP ของเขาจะแพ้การเลือกตั้งให้พรรคฟุนซิเนเปกของเจ้าชายรณฤทธิ์ แต่ฮุน เซนไม่ยอมลงจากอำนาจ จนเกิดข้อตกลงให้มี “นายกรัฐมนตรีร่วม” ระหว่างเขากับเจ้าชาย
อย่างไรก็ตาม ในปี 1997 เกิดเหตุรัฐประหารภายในประเทศ ฮุน เซนเข้ายึดอำนาจเต็มรูปแบบและกลายเป็นผู้นำกัมพูชาโดยสมบูรณ์นับแต่นั้น
ยุคแห่งอำนาจ และการเปลี่ยนผ่านสู่ลูกชาย
ตลอดเวลาหลายสิบปี ฮุน เซนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนานถึงปี 2023 เขาเป็นผู้นำที่ทำให้กัมพูชามีความมั่นคงและเศรษฐกิจเติบโตจากการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน แต่ขณะเดียวกันก็ถูกวิจารณ์ว่ามีลักษณะการปกครองแบบอำนาจนิยม ปิดกั้นฝ่ายค้านและเสรีภาพสื่อ
ในเดือนกรกฎาคม 2023 ฮุน เซนประกาศลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและส่งต่ออำนาจให้ลูกชายคือ “ฮุน มาเนด” ซึ่งเป็นนายทหารยศพลเอกที่จบจากเวสต์พอยต์ ทุนโควต้ากองทัพไทยนั่นเอง
แม้จะวางมือจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาล แต่ฮุน เซนยังคงเป็นบุคคลสำคัญในพรรคประชาชนกัมพูชา และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานวุฒิสภาในปี 2024 ยังคงควบคุมทิศทางการเมืองกัมพูชาอยู่เบื้องหลัง
มรดกทางการเมืองและความสัมพันธ์กับไทย
ตลอดหลายสิบปี ฮุน เซนมีทั้งมิตรและคู่แข่งในประเทศไทย หลายครั้งเกิดความขัดแย้งเรื่องชายแดน เช่น กรณีเขาพระวิหาร หรือพื้นที่บ้านหนองจาน แต่ในเชิงการเมือง เขายังคงรักษาความสัมพันธ์กับผู้นำไทยทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นยุคประชาธิปไตยหรือยุครัฐประหาร
ฮุน เซนเคยกล่าวไว้ว่า “ไทยคือเพื่อนบ้านที่กัมพูชาไม่สามารถย้ายหนีได้” ซึ่งสะท้อนท่าทีทางการทูตที่แม้จะมีปัญหา แต่ก็ไม่ถึงขั้นตัดสัมพันธ์
ชีวิตของฮุน เซน คือการเดินทางจากความจน ความเจ็บปวด และสงคราม มาสู่การเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในกัมพูชา เขาเป็นนักการเมืองที่รู้จักสร้างโอกาสจากทุกวิกฤต และใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือจากไทยและเวียดนาม เป็นเครื่องมือในการสร้างเส้นทางแห่งอำนาจ
ทุนทางทหารที่กัมพูชาได้รับจากไทย โดยเฉพาะทุนเวสต์พอยต์ที่ส่งต่อให้ลูกชายของเขา กลายเป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างสองประเทศ ซึ่งยังคงมีบทบาทต่อภูมิภาคอาเซียนมาจนถึงปัจจุบัน
ในหน้าประวัติศาสตร์กัมพูชา ฮุน เซนจะถูกจดจำทั้งในฐานะ “ผู้นำผู้สร้าง” และ “ผู้นำผู้ครอบงำ” — ชายผู้ทำให้กัมพูชาก้าวข้ามสงครามแต่ก็ยังคงตั้งคำถามต่ออนาคตของเสรีภาพทางการเมืองที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง





















