ประวัติการอพยพของชาวกัมพูชาหนีระบอบเขมรแดงมายังไทย
ประวัติการอพยพของชาวกัมพูชาหนีระบอบเขมรแดงมายังไทย
ก่อนปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ดินแดนกัมพูชาและไทยมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมยาวนาน แต่การเมืองในภูมิภาคเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในคริสต์ทศวรรษ 1960–1970 สงครามเวียดนามและการแทรกแซงทางทหารของมหาอำนาจสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดความขัดแย้งภายในกัมพูชาเอง จนกระทั่งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 กลุ่มเขมรแดงเข้ายึดกรุงพนมเปญและประกาศก่อตั้งระบอบ ‘ประชาธิปไตยกัมพูชา’ หรือที่เรียกว่า Democratic Kampuchea ซึ่งนำมาซึ่งนโยบายปรับโครงสร้างสังคมรุนแรง การเนรเทศชุมชนในเมือง การบังคับให้คนไปทำงานในไร่นา และการปราบปรามผู้สงสัยว่าต่อต้านรัฐ ผลลัพธ์คือความอดอยาก การประหารชีวิต และการเสียชีวิตของประชากรจำนวนมากจนเป็นเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มีผู้เสียชีวิตหลายแสนถึงล้านกว่าคนตามการประเมินต่าง ๆ.
เหตุจูงใจให้ต้องอพยพ
สาเหตุหลักที่ชาวกัมพูชาตัดสินใจหนีออกจากประเทศมีหลายประการรวมถึง การคุกคามชีวิตโดยตรง การบังคับย้าย การขาดอาหารและบริการสาธารณสุข การจับกุมและการประหารผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ศัตรูของปฏิวัติ” และความหวาดกลัวต่อการถูกเกณฑ์แรงงานหรือการบังคับแรงงานรัฐ เมื่อระบอบเขมรแดงยังคงใช้นโยบายสุดโต่ง ผู้คนจึงเลือกเสี่ยงเดินทางหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดซึ่งรวมถึงชายแดนไทยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
คลื่นการอพยพครั้งใหญ่และจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์
การอพยพมีความต่อเนื่องตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 แต่ปริมาณการไหลของผู้หนีภัยเพิ่มสูงมากหลังจากที่ระบอบเขมรแดงถูกโค่นล้มเมื่อปลายปี พ.ศ. 2521 โดยการรุกรานของกองทัพเวียดนามในเดือนธันวาคม 2521–มกราคม 2522 ทำให้เกิดภาวะไม่มั่นคงข้ามพรมแดนและการอพยพจำนวนมหาศาลในปีต่อมา ผู้ลี้ภัยหลายแสนคนหลั่งไหลมายังแนวชายแดนไทยตั้งค่ายชั่วคราวเพื่อรอการช่วยเหลือหรือรอการอพยพไปประเทศอื่น ๆ.
ชีวิตการเดินทางสู่ชายแดน
การเดินทางของผู้ลี้ภัยมีทั้งแบบเดินเท้า ล่องเรือผ่านแม่น้ำ และการอาศัยพาหนะที่หาได้ระหว่างการหลบหนี หลายครอบครัวมุ่งหน้าข้ามป่าเขา ข้ามพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดและการสู้รบ บ่อยครั้งผู้คนมาถึงชายแดนในสภาพอ่อนเพลีย ขาดอาหาร และเจ็บป่วย เมื่อมาถึงไทย ผู้หนีภัยบางส่วนถูกเชื่อมโยงไปยังศูนย์รับหรือถูกพาตัวไปยังค่ายพักพิงที่จัดตั้งขึ้นตามแนวพรมแดน
ค่ายผู้ลี้ภัยสำคัญบนแนวชายแดนไทย
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยร่วมกับองค์การสหประชาชาติ องค์กรไม่แสวงหากำไร และหน่วยงานต่างประเทศ จัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งเพื่อรองรับชาวกัมพูชา ค่ายเด่น ๆ ได้แก่
เขาอีด่าง / Khao I Dang ค่ายนี้เป็นหนึ่งในค่ายที่มีชื่อเสียงและได้รับการบริการจากหน่วยงานช่วยเหลือต่างประเทศอย่างกว้างขวาง Khao I Dang จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2522 และในช่วงหลายปีมีผู้พักอาศัยจำนวนมากและมีบริการด้านการแพทย์ การศึกษา และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ค่ายนี้ถือเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการคัดกรองและรีสเซ็ตเทิ้ลเมนต์ไปประเทศที่สาม.
Site Two (Site II) เป็นหนึ่งในค่ายที่ใหญ่ที่สุดบนแนวชายแดนไทยซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980 และเคยเป็นค่ายผู้ลี้ภัยขนาดใหญ่มาก มีผู้อยู่อาศัยแสนกว่าคนในบางช่วงเวลา ก่อนจะปิดตัวลงเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงและผู้คนทยอยกลับประเทศหรือย้ายที่อยู่.
หนองเสม็ด / Nong Samet และค่ายอื่น ๆ ตามแนวชายแดนก็เป็นจุดพักชั่วคราวที่มีการย้ายถิ่นและความซับซ้อนทางการเมืองภายในค่าย ค่ายบางแห่งต้องย้ายตำแหน่งหลายครั้งเพราะปัจจัยด้านความมั่นคงและแรงกดดันระหว่างประเทศ.
สภาพความเป็นอยู่ในค่าย
ชีวิตในค่ายเป็นการอยู่ในสภาวะที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ ผู้ลี้ภัยพบปัญหาเรื่องความแออัด ขาดแคลนน้ำสะอาด บางช่วงมีปัญหาอาชญากรรมและความไม่เป็นระเบียบภายในค่าย แต่ในขณะเดียวกันค่ายก็เป็นจุดที่มีการจัดระบบช่วยเหลือโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น การตั้งโรงเรียนชั่วคราว การจัดบริการแพทย์สนาม การจ่ายอาหาร และโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์เบื้องต้น งานด้านมนุษยธรรมในค่ายโดยรวมถือว่ามีความซับซ้อนเพราะต้องประสานระหว่างรัฐบาลไทย หน่วยงานระหว่างประเทศ และกลุ่มการเมืองกัมพูชาที่จัดตั้งตัวเองภายในค่าย.
การเมืองและความท้าทายระหว่างประเทศ
ปัญหาผู้ลี้ภัยข้ามพรมแดนไม่ใช่แค่เรื่องมนุษยธรรมแต่กลายเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศ ไทยต้องจัดสมดุลระหว่างการให้ที่พักพิงกับความกังวลเรื่องการใช้ค่ายเป็นฐานของกลุ่มติดอาวุธหรือกลุ่มต่อต้านเวียดนาม ระหว่างทศวรรษ 1980 ค่ายผู้ลี้ภัยบางแห่งถูกใช้เป็นศูนย์รวบรวมกำลังของกลุ่มต่าง ๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลที่เวียดนามหนุนหลัง ส่งผลให้ค่ายบางแห่งตกเป็นเป้าการโจมตีและทำให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนในค่ายทวีความรุนแรงขึ้นในบางช่วง.
การตั้งถิ่นฐานใหม่ การอพยพไปประเทศที่สาม และการกลับคืน
หน่วยงานรับผิดชอบระหว่างประเทศจัดโปรแกรมรีสเซ็ตเทิ้ลเมนต์ ทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากได้รับการอพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สามเช่นสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และยุโรป ผู้ที่ได้รับการอัปสายหรือผู้ที่เลือกไม่อพยพบางส่วนกลับกัมพูชาเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ในขณะที่คนอีกกลุ่มเลือกตั้งรกรากถาวรในไทยและเป็นแรงงานภาคเกษตรและภาคก่อสร้างที่สำคัญต่อเศรษฐกิจพื้นที่ชายแดน ผลลัพธ์คือนักสืบทอดวัฒนธรรมเขมรในประเทศไทยกลายเป็นชุมชนที่มีตัวตนทั้งด้านภาษา ประเพณี และการปฏิสัมพันธ์ข้ามชาติ
ตัวเลขและสถิติที่สำคัญ
ตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ลี้ภัยในช่วงนั้นมีความรุนแรงและหลากหลายในการประเมิน แต่มีการยอมรับกันว่าสมัยเขมรแดงมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และการไหลของผู้ลี้ภัยไปยังไทยและประเทศอื่น ๆ มีตัวเลขเป็นแสนถึงล้านในช่วงหลายปีหลังปี 1979 ค่ายเช่น Khao I Dang เคยรับผู้อพยพได้เป็นหลักหมื่นถึงหลักแสนในช่วงพีก และ Site Two เองก็เป็นหนึ่งในค่ายที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคในช่วงยุค 1980s.
ผลกระทบระยะยาวและมรดกทางสังคม
การอพยพครั้งนั้นทิ้งรอยแผลลึกไว้ทั้งในสังคมกัมพูชาและในชุมชนที่ต้อนรับคนหนีภัย ไทยได้รับบทบาทเป็นที่พักพิงชั่วคราวที่มีทั้งความเมตตาและความซับซ้อนทางการเมือง ลูกหลานของผู้ลี้ภัยที่เกิดและเติบโตในไทยทำหน้าที่เชื่อมวัฒนธรรม ทั้งยังมีการรำลึกถึงเหตุการณ์ผ่านอนุสรณ์สถาน งานวิจัย และสารคดีต่าง ๆ ที่พยายามรักษาเรื่องเล่าและความทรงจำของยุคนั้นไว้เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์เช่นนี้ซ้ำรอย


















