คณะสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ยกประเด็น “สว.อังคณา” เรียกร้องรัฐบาลไทยตรวจสอบพฤติกรรมอินฟลูเอนเซอร์ ปมเปิดเสียงข่มขวัญชายแดน
คณะสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ยกประเด็น “สว.อังคณา” เรียกร้องรัฐบาลไทยตรวจสอบพฤติกรรมอินฟลูเอนเซอร์ ปมเปิดเสียงข่มขวัญชายแดน
วันที่ 12 ตุลาคม 2568 — สำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชา รายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ได้ออกแถลงการณ์อ้างอิงรายงานจากสำนักข่าว NewsOnEnglish โดยระบุถึงกรณีที่ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาไทย แสดงความเห็นเกี่ยวกับคำร้องเร่งด่วนของ CHRC ที่ยื่นต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เพื่อให้ตรวจสอบเหตุการณ์ “การใช้เสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญ” หรือ “การข่มขู่ทางจิตใจ” ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา
รายงานระบุว่า ทาง CHRC มองว่ามีการใช้เสียงแปลกประหลาด คล้าย “เสียงวิญญาณ” หรือ “เสียงผี” ที่ถูกเปิดผ่านลำโพงใกล้แนวชายแดนฝั่งไทย เพื่อข่มขวัญหรือสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวกัมพูชาในพื้นที่ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถูกตีความว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามจิตวิทยา” ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการทูตระหว่างสองประเทศ
นางอังคณา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย ได้ให้ความเห็นว่า การกระทำใด ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของพลเรือน แม้ในพื้นที่ความขัดแย้ง ย่อมเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจเข้าข่าย “การทรมานทางจิตใจ” ตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (CAT) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ในปัจจุบัน
เธอยังระบุเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ควรตรวจสอบกรณีที่อินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่งในประเทศไทยเผยแพร่คลิปเสียงหรือ “ซาวด์หลอน” ที่ตั้งใจเปิดข้ามพรมแดน เพื่อสร้างแรงกดดันทางจิตวิทยาแก่ฝ่ายกัมพูชา โดยมองว่าการกระทำลักษณะนี้ “ไม่เหมาะสม” และ “ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล”
แหล่งข่าวจาก CHRC ระบุว่า คณะกรรมการฯ ได้ยื่นคำร้องเร่งด่วนไปยัง OHCHR เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ตรวจสอบว่าเสียงที่เปิดดังกล่าวเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐไทย หรือเป็นเพียงพฤติกรรมส่วนบุคคลของผู้มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลไทยชี้แจงข้อเท็จจริงโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองหรือการทูต
ทาง CHRC ยังกล่าวว่า การใช้เสียงใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัว ความสับสน หรือความเครียดต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน ถือเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และ “สันติภาพในพื้นที่ชายแดน”
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยังไม่มีการตอบโต้หรือออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการต่อกรณีนี้ แต่ในโลกออนไลน์เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยบางฝ่ายมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเพียง “การตอบโต้เชิงสัญลักษณ์” หลังเกิดเหตุปะทะและความตึงเครียดทางชายแดนในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าการกระทำลักษณะนี้อาจสร้างความเข้าใจผิดและยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
เหตุการณ์ดังกล่าวจึงสะท้อนถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากมิติทางการเมืองและความมั่นคงแล้ว ยังเริ่มขยายเข้าสู่ประเด็นสิทธิมนุษยชนและการใช้สื่อออนไลน์อย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่ออินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีชื่อเสียงในสังคมออนไลน์เข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหวระดับระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาและ สว.อังคณา ต่างย้ำตรงกันว่า “เสียง” ที่อาจดูเหมือนไม่มีพิษภัยในโลกออนไลน์ หากถูกใช้ผิดบริบท ก็อาจกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความขัดแย้งและความหวาดกลัวในชีวิตจริงได้ จึงควรใช้ความระมัดระวังและเคารพต่อศักดิ์ศรีของทุกฝ่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ดำเนินไปบนพื้นฐานของความเข้าใจและสันติภาพอย่างแท้จริง



















