กัน จอมพลัง โต้กลับนักสิทธิมนุษยชน ปม “ซาวด์ผีกล่อมเขมร” ลั่นโลกสวยเกินไป ยืนยันเดินหน้ากดดันกัมพูชาต่อ
กัน จอมพลัง โต้กลับนักสิทธิมนุษยชน ปม “ซาวด์ผีกล่อมเขมร” ลั่นโลกสวยเกินไป ยืนยันเดินหน้ากดดันกัมพูชาต่อ
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดเกิดประเด็นร้อนในโลกออนไลน์เมื่อ “กัน จอมพลัง” ออกมาโต้กลับ “อังคณา” และกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน หลังอีกฝ่ายตั้งคำถามถึงการใช้ “ซาวด์ผีกล่อมเขมร” บริเวณชายแดนว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ โดยกันได้ออกมาชี้แจงและสวนกลับอย่างดุเดือดว่าบางคน “โลกสวยเกินไป” พร้อมยืนยันจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฝั่งกัมพูชาต้องกลับมาเจรจากับไทย
กัน จอมพลัง ระบุว่า ตนไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความเกลียดชังหรือยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง แต่การใช้ซาวด์เสียงดังกล่าวเป็นเพียง “เครื่องมือทางจิตวิทยา” เพื่อกดดันคู่กรณี หลังจากที่ทหารกัมพูชายังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่พิพาทและไม่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทย การส่งเสียง “ผีกล่อมเขมร” เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงพลังและความไม่ยอมจำนน ไม่ได้มีเป้าหมายทำร้ายใคร แต่ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าคนไทยพร้อมจะยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดิน
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การที่นักสิทธิมนุษยชนบางคนออกมาตั้งคำถามว่า การใช้วิธีนี้อาจเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นการมองโลกในมุมที่ “อุดมคติเกินจริง” เพราะในความเป็นจริง เมื่ออีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ ไม่เคารพข้อตกลง และยังคงท้าทายอธิปไตยของไทย การยืนเฉยหรือใช้แต่แนวทางสันติอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะปกป้องประเทศ
กันยังได้กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ทุกวันนี้นักสิทธิบางคนเก่งแต่กับคนไทย แต่ไม่เคยพูดถึงการกระทำของฝ่ายกัมพูชาเลย” พร้อมตั้งคำถามกลับว่า ทำไมจึงไม่มีใครออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กับชาวบ้านชายแดนไทยที่ต้องอยู่กับความหวาดกลัวจากการถูกข่มขู่หรือยิงข้ามแดน เขาย้ำว่าหากจะพูดเรื่องสิทธิมนุษยชน ควรพูดให้ครบทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เลือกข้างอย่างมีอคติ
ท่าทีของกัน จอมพลัง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อกลุ่มคนที่มองว่าการใช้ “ซาวด์ผีกล่อมเขมร” เป็นเรื่องผิดศีลธรรม เขาเชื่อว่าบางครั้ง “ความเข้มแข็ง” คือสิ่งจำเป็นในการสร้างสันติภาพ เพราะหากอีกฝ่ายไม่เคารพกันตั้งแต่ต้น การยอมทุกอย่างก็ไม่ใช่คำตอบ กันกล่าวว่า “บางทีความนุ่มนวลก็ไม่ได้ผล โลกสวยมากไปก็ถูกเหยียบอยู่ดี”
ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้สนับสนุนกัน จอมพลัง จำนวนมากในโลกโซเชียลได้ออกมาให้กำลังใจ พร้อมแชร์ข้อความสนับสนุนแนวทางการแสดงพลังของคนไทย โดยมองว่านี่เป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่มีผลต่อจิตใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล และช่วยปลุกกระแสความรักชาติในสังคมไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์ทางการเมืองบางส่วนมองว่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความแตกต่างของแนวคิดระหว่าง “กลุ่มปกป้องอธิปไตย” กับ “กลุ่มสิทธิมนุษยชน” ที่มีมุมมองต่อการใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาแตกต่างกัน โดยกลุ่มสิทธิมองว่าควรเน้นความสงบและการเจรจา ส่วนอีกฝ่ายเชื่อว่าการแสดงพลังและความกล้าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้คู่กรณีเคารพขอบเขตของไทย
กัน จอมพลัง ปิดท้ายด้วยถ้อยคำหนักแน่นว่า “ผมจะเดินหน้าทำในสิ่งที่เชื่อ ว่าถ้าเราไม่ยืนหยัด ปกป้องประเทศของเรา แล้วใครจะทำแทน” พร้อมยืนยันว่าการใช้ซาวด์ผีกล่อมเขมรจะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะหยุดพฤติกรรมละเมิดขอบเขต และกลับเข้าสู่วงเจรจาอย่างเป็นทางการ
เสียงสะท้อนจากเหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นกระแสสังคมที่สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่าง “แนวคิดอุดมคติ” กับ “แนวทางปฏิบัติจริง” ซึ่งในยามที่ประเทศเผชิญแรงกดดันจากภายนอก คำถามสำคัญคือ เราควรเลือกใช้ “ความอ่อนโยน” หรือ “ความแข็งแกร่ง” เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของชาติอย่างไรให้เหมาะสมที่สุดในบริบทของยุคปัจจุบัน



















