กบมีขน: วูล์ฟเวอรีนแห่งธรรมชาติ! เผยกลไก "หักกระดูกเป็นกรงเล็บ" ป้องกันตัว
ท่ามกลางสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ดูบอบบาง "กบมีขน" (Hairy Frog) หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichobatrachus robustus ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกากลาง โดยเฉพาะแคเมอรูน กลับมีความลับที่น่าสะพรึงกลัวและชวนให้นึกถึงตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ชื่อดังอย่าง "วูล์ฟเวอรีน" (Wolverine) แห่งมาร์เวล
เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย กบชนิดนี้จะงัดไม้ตายที่อาจฟังดูเหลือเชื่อออกมา: มันจะจงใจหักกระดูกนิ้วเท้าของตัวเอง ปลายกระดูกที่แหลมคมจะแทงทะลุผิวหนังบริเวณปลายนิ้วเท้าออกมา กลายเป็น "กรงเล็บกระดูก" ที่พร้อมจะใช้ขีดข่วนหรือโจมตีศัตรูเพื่อป้องกันตัว กลไกการป้องกันตัวที่น่าขนลุกนี้ทำให้กบชนิดนี้ได้รับฉายาว่า "กบสยองขวัญ" (Horror Frog) หรือ "กบกระดูกหัก" (Bone-breaker Frog)
กรงเล็บดังกล่าวไม่ใช่กรงเล็บจริงที่ประกอบด้วยเคราติน แต่เป็นกระดูกที่เชื่อมต่อกับก้อนเนื้อเยื่อกระดูกขนาดเล็กบริเวณปลายนิ้วเท้า เมื่อกบอยู่ในสภาวะถูกคุกคาม กล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะหดตัวอย่างรวดเร็ว บังคับให้กระดูกหักและแทงทะลุเนื้อเยื่อและผิวหนังออกมาสร้างอาวุธเฉพาะกิจ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าหลังจากพ้นภัยแล้ว กรงเล็บกระดูกนี้จะหดกลับเข้าไปในร่างกาย และเนื้อเยื่อที่เสียหายจะสามารถฟื้นตัวและงอกกลับคืนมาใหม่ได้ แม้รายละเอียดของกระบวนการฟื้นฟูนี้ยังคงเป็นปริศนาที่น่าทึ่งทางชีววิทยา
นอกจากความสามารถในการสร้างกรงเล็บกระดูกแล้ว กบชนิดนี้ยังมีลักษณะเด่นอื่น ๆ สมชื่อ "กบมีขน" อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะพัฒนาส่วนผิวหนังที่คล้ายเส้นขนจำนวนมากบริเวณข้างลำตัวและต้นขา "ขน" เหล่านี้แท้จริงแล้วคือส่วนที่ยื่นออกมาของผิวหนังที่มีหลอดเลือดฝอยอยู่มากมาย ซึ่งทำหน้าที่เสมือน "เหงือกภายนอก" ช่วยในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนจากน้ำ เนื่องจากในช่วงฤดูผสมพันธุ์ กบตัวผู้จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในน้ำเชี่ยวเพื่อดูแลไข่และลูกอ๊อดที่อาศัยอยู่ในบริเวณน้ำตกหรือลำธารที่ไหลแรง
กบมีขน จัดอยู่ในวงศ์ Arthroleptidae ซึ่งหมายถึง "กบขนดกแข็งแรง" พวกมันเป็นกบที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยตัวผู้อาจยาวได้ถึง 13 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 80 กรัม อาศัยอยู่ในป่าฝนที่ราบต่ำ ใกล้แม่น้ำ และพื้นที่การเกษตรในหลายประเทศแถบแอฟริกากลาง
ด้วยกลไกการป้องกันตัวอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครนี้ ทำให้ "กบมีขน" เป็นตัวอย่างอันน่าทึ่งของความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความอัศจรรย์ของวิวัฒนาการในการเอาชีวิตรอดจากภัยคุกคามในโลกธรรมชาติ





















