กัมพูชาเผชิญวิกฤตข้าวครั้งใหญ่: เวียดนามปฏิเสธรับซื้อ ข้าวติดค้างล้านตัน สูญมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์
กัมพูชากำลังเผชิญวิกฤตข้าวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ภาพของโกดังข้าวที่เต็มล้นด้วยถุงข้าวสารนับล้านตันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอึดอัดในระบบเศรษฐกิจชนบท หลังจากเวียดนามเข้าร่วมไทยปฏิเสธรับซื้อข้าวกัมพูชา ทำให้ข้าวที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วกว่า 1 ล้านตัน มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่สามารถส่งออกหรือแม้แต่สีเพื่อจำหน่ายได้ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของกัมพูชา (MAFF) แถลงเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมว่า การปฏิเสธจากเวียดนามส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกร และหากไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา ข้าวจำนวนมหาศาลนี้อาจเน่าเสียจนใช้ประโยชน์ไม่ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สถานการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคม เมื่อเวียดนามซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญและผู้นำเข้าข้าวกัมพูชารายใหญ่อันดับสอง รองจากไทย ประกาศระงับการนำเข้าข้าวล็อตใหม่ทั้งหมด โดยให้เหตุผลเรื่องคุณภาพและมาตรฐานสินค้า การตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม (MOIT) พบว่าข้าวบางล็อตจากกัมพูชามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานของสหภาพยุโรป อีกทั้งยังมีระดับความชื้นสูงจากฤดูฝนที่ยาวนานผิดปกติ ปัญหาดังกล่าวทำให้ข้าวกว่า 500,000 ตันที่เตรียมส่งไปเวียดนามต้องติดค้างอยู่ในโกดังและท่าเรือ ความสูญเสียจากกรณีนี้เพียงอย่างเดียวมีมูลค่าประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ และยิ่งซ้ำเติมความยากลำบากของเกษตรกรในจังหวัดบันเตียเมียนเจยและกัมพอต ที่ต้องหยุดการสีข้าวเพราะขาดตลาดรับซื้อ
ในอีกด้านหนึ่ง ความสัมพันธ์ทางการค้ากับไทยก็อยู่ในภาวะตึงเครียดจากข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ทำให้ด่านค้าชายแดนกว่า 16 แห่งยังคงปิดอยู่ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการเกษตร มูลค่าความเสียหายสะสมจากการหยุดชะงักของการค้าระหว่างสองประเทศนั้นสูงกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยซึ่งเคยรับซื้อข้าวกัมพูชาประมาณ 40% ของการส่งออกทั้งหมด หรือราว 1.2 ล้านตันต่อปี ก็ได้ระงับการนำเข้าชั่วคราว สถานการณ์ที่ทั้งไทยและเวียดนามปฏิเสธข้าวกัมพูชาพร้อมกันเช่นนี้ทำให้ประเทศต้องสูญเสียตลาดหลักแทบทั้งหมดภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
ราคาข้าวเปลือกในพื้นที่ปลูกหลักอย่างบันเตียเมียนเจยและเสียมราฐร่วงลงจากเดิมตันละ 300 ดอลลาร์ เหลือเพียง 90 ดอลลาร์ เกษตรกรนับแสนครอบครัวต้องประสบภาวะขาดทุนหนัก ข้าวจำนวนมหาศาลที่เก็บเกี่ยวแล้วถูกทิ้งไว้ในโกดังอย่างไร้จุดหมาย “ถ้าเราไม่สามารถส่งออกภายในสามเดือน ข้าวทั้งหมดนี้จะเน่า และจะกระทบ GDP ภาคเกษตรอย่างน้อยสองถึงสามเปอร์เซ็นต์” เท เพีย รองประธานสมาพันธ์ข้าวกัมพูชา กล่าวเตือน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน
รัฐบาลภายใต้การนำของฮุน มานิต ได้ออกคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ เจรจากับเวียดนามในกรอบคณะกรรมการการค้าอาเซียน เพื่อหาทางออกชั่วคราวและขอยกเว้นมาตรฐานบางข้อที่ทำให้การนำเข้าติดขัด นอกจากนี้ยังเตรียมส่งผู้แทนเข้าร่วมงาน China International Import Expo ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เพื่อโปรโมทข้าวกัมพูชาและแสวงหาตลาดใหม่ในจีนและอินเดีย ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูภาคการเกษตรให้กลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง พร้อมกันนี้ได้จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรวงเงิน 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการสีข้าวและการเก็บรักษาสินค้าระหว่างรอการส่งออก
ทว่าผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นว่าปัญหาที่แท้จริงของกัมพูชาไม่ได้อยู่เพียงเรื่องตลาด แต่คือโครงสร้างการผลิตที่ล้าสมัยและขาดความยั่งยืน รายงานจาก East Asia Forum ระบุว่า กัมพูชายังคงพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยและเครื่องจักรจากเวียดนามมากกว่า 80% ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงและควบคุมคุณภาพได้ยาก เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและไทยที่มีระบบสีข้าวและเก็บรักษาทันสมัยกว่า
การประเมินจาก Mekong Strategic Capital ชี้ว่า หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย การส่งออกข้าวของกัมพูชาอาจลดลงถึง 30% ในปี 2568 ซึ่งจะฉุดให้ GDP ของประเทศชะลอตัวลงราว 1% และทำให้อัตราความยากจนเพิ่มขึ้นกว่า 15% ภายในสิ้นปี ขณะเดียวกัน ธนาคารโลกได้ประเมินว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการปิดด่านและการสูญเสียตลาดส่งออกอาจสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นวิกฤตทางเกษตรกรรมที่รุนแรงที่สุดของกัมพูชาในรอบทศวรรษ
ท่ามกลางเสียงเครื่องสีข้าวที่หยุดเงียบในหลายหมู่บ้าน และถุงข้าวสารที่กองเรียงรอชะตาอยู่ตามโกดังทั่วประเทศ ภาพเหล่านี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจกัมพูชาที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก หากรัฐบาลไม่สามารถหาทางออกในการกระจายตลาด ปรับมาตรฐานการผลิต และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้กับคู่ค้าได้ทันเวลา “ฤดูข้าวที่ขมขื่น” นี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กัมพูชาต้องหันกลับมาทบทวนอนาคตของภาคเกษตรกรรมทั้งระบบอีกครั้ง.
ที่มา: Khmer Times, Cambodia Daily, East Asia Forum, Cambodia Rice Federation, World Bank, Mekong Strategic Capital, X posts





















