สั่นสะเทือนทั้งประเทศ! เพจดังเผย “ยกเลิก MOU 43” เสี่ยงไทยเสียดินแดนทันที เขมรได้เปรียบเต็มๆ
ยกเลิก MOU43: เปิดมุมมองและทางออกของปม “เสียดินแดน” หรือ “ถูกเล่นทางการเมือง”?
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ได้มีการเผยแพร่เนื้อหาจากแอคเคาต์ ThaiArmedForce ซึ่งกล่าวอ้างถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น หากไทยดำเนินการ ยกเลิก MOU43 โดยสรุปใจความสำคัญว่า:
“ถ้าหากยกเลิก MOU43 นอกจากจะ ‘เข้าทางเขมร 100%’ แล้วยัง ‘รับประกันการเสียดินแดนแน่นอน’ — โดยเฉพาะในประเด็นแผนที่ (1:200,000 vs 1:50,000) ที่มักถูกหยิบมาอธิบายให้ดูเหมือนไทยเสี่ยงถูกเอาเปรียบมากขึ้น”
บทความชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อตีความ ประเมินตรรกะ และเติมมุมมองที่สำคัญจากมิติทางกฎหมายและยุทธศาสตร์ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมและแนวทางที่เป็นไปได้
เบื้องต้น: MOU43 คืออะไร? ทำไมถึง “อยู่ในเกมชายแดน” ตลอดมา
ก่อนจะเข้าสู่ข้อถกเถียง เราต้องกลับมาทำความเข้าใจพื้นฐานของ MOU 43 (บันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2543) ระหว่างไทยกับกัมพูชา:
MOU43 ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 มีจุดประสงค์หลักคือให้ไทยและกัมพูชาร่วมกัน สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก โดยอิงจากเอกสารชุดเดิม ได้แก่ สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส (ปี 1893, 1904, 1907) และแผนที่ต่าง ๆ ที่แนบท้ายสนธิสัญญาเหล่านั้น
ในบันทึกจะกำหนดให้มี คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนของไทยและกัมพูชา ทำหน้าที่สำรวจภาคสนาม จัดทำแผนที่ และติดตามผลการดำเนินงานตามแนวเขตแดนที่ตกลงกันไว้
MOU43 มี 9 ข้อ โดยข้อสำคัญ เช่น
• ข้อ 1: กำหนดเอกสารอ้างอิง (สนธิสัญญา, แผนที่แนบท้าย) ในการปักปันเขตแดน
• ข้อ 4: เสนอให้แบ่งแนวเขตเป็นหลายตอน และเมื่อสำรวจเสร็จในแต่ละตอนให้จัดทำแผนที่แนบท้าย พร้อมบันทึกความเข้าใจย่อย ๆ
• ข้อ 8: ระบุวิธีระงับข้อพิพาทแบบ “สันติวิธี” เช่น ปรึกษาหารือและเจรจาเป็นหลัก
โดยจุดเด่นของ MOU43 คือ มันเป็นกรอบทางเทคนิค — มิได้เป็น “การเปลี่ยนแปลงเขตแดนทันที” — แต่เปิดให้มีการสำรวจใหม่ ปักปันหลักเขตแดนจริงร่วมกัน
นอกจากนี้ ไทยและกัมพูชายังมี กลไกการเจรจาอื่น ๆ เช่น GBC (General Border Committee) และ RBC (Regional Border Committee) ซึ่งเป็นเวทีทหารที่ดูแลประเด็นชายแดนโดยเฉพาะ ที่ส่งเสริมให้ MOU43 ทำงานได้ต่อเนื่องในทางปฏิบัติ
เจาะทีละประเด็น: ข้อโต้แย้ง 6 ข้อที่ถูกหยิบมา “ตอกฝาโลง”
ต้นฉบับมี 6 ข้อหลักที่อธิบายว่า “ยกเลิก MOU43 → ทางเขมรได้เปรียบ → ไทยเสียดินแดนแน่นอน” ผมขอถอดบทเรียน ชี้ช่องอ่อน-จุดแข็ง พร้อมใส่มุมมองเสริมให้สมดุล ดังนี้:
ข้อ 1: แผนที่ 1:200,000 หรือ 1:50,000 — ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้?
ข้ออ้างต้นฉบับ: คนไทยมักยก “แผนที่ 1:200,000” ว่าเป็นแบบหยาบ ต้องใช้ 1:50,000 เท่านั้น แต่อันที่จริง 1:200,000 ถูกยกมาใช้เจรจา ดังนั้นแปลว่าไทย “ยอมรับ” แผนที่ 1:200,000 ไปแล้ว — ขณะเดียวกัน แผนที่ 1:50,000 ก็ยังมีความคลาดเคลื่อน
ข้อสังเกต/วิจารณ์:
ถูกต้องที่ว่าแผนที่ทุกแบบ — ไม่ว่าจะ 1:50,000 หรือ 1:200,000 — มี “ความคลาดเคลื่อน” ได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีแผนที่ใดแม่นยำระดับไร้ข้อผิดพลาด 100%
แต่การเลือก “มาตราส่วน” ไม่ได้แปลว่าเป็นการ “ยอมรับว่าเป็นเส้นเขตแดนสุดท้าย” — เดินทางเทคนิคระหว่างไทย-กัมพูชา ยังคงเปิดให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น LiDAR, GPS, การวัดภาคสนามจริง ฯลฯ
ตรรกะที่ว่า “เพียงใช้ 1:200,000 → ไทยยอมรับแผนที่นั้นแล้ว” เป็นการสรุปแบบง่ายเกินไป — เพราะในแง่วิชาการประเทศ มักยอมรับหลายมาตราส่วนเป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ ไม่ได้เป็นตัวตัดสินเขตแดนเพียงหนึ่งเดียว
แผนที่ 1:50,000 อาจถูกใช้ในทางทหารหรือในงานระดับภูมิภาคเฉพาะ ส่วนมาตราส่วน 1:200,000 มักใช้ในงานระดับกว้างหรือแผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาเก่า ๆ
ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างนี้มี “น้ำหนักบางส่วน” แต่ถูกใช้ในเชิง “ผลักความหวาดกลัว” มากกว่าจะเป็นข้อพิสูจน์ทางกฎหมาย
ข้อ 2: MOU43 คือ “การฝึกปักแนวเขต” ไม่ใช่ “รับรองแผนที่เก่า”
ข้ออ้างต้นฉบับ: เมื่อแผนที่ไม่ตรง จึงตกลงสร้างแผนที่ใหม่ให้ตรงจุดจริง — MOU43 จึงเป็นกรอบให้ “ปักแนวเขต” ไม่ใช่เป็นการยอมรับว่าแผนที่เดิม (1:200,000) ถูกต้องเสมอไป
ข้อสังเกต/วิจารณ์:
ข้อที่ว่า “แผนที่เดิมไม่ตรง” เป็นข้อสังเกตที่ถูกต้อง — เขตแดนตามธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลง (แม่น้ำไหลเปลี่ยน, ป่าไม้เคลื่อน, พื้นที่แห้งแล้งเปลี่ยน) ทำให้ต้องมีการสำรวจใหม่
MOU43 มี “คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม” เพื่อให้เกิดการสำรวจภาคสนาม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “เทคนิคเป็นตัวพิสูจน์จริง” มากกว่าการอ้างแผนที่เก่าโดยลำพัง
อย่างไรก็ดี “การฝึกปักแนวเขต” ใน MOU43 ก็มีเงื่อนไขและกรอบข้อผูกมัด — ไม่ได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลงเขตแดนตามอำเภอใจ
ข้อ 2 ถือเป็นจุดที่ต้นฉบับตีให้เห็นมุม “ไทยได้เปรียบ” มาก — แต่ในความเป็นจริงมันเป็น “ความตั้งใจ” ของ MOU43 อยู่แล้ว ที่จะไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ล่วงหน้า
ข้อ 3: MOU43 ไม่ได้ “รับรอง” แผนที่ 1:200,000 ทั้งหมด
ข้ออ้างต้นฉบับ: MOU43 แม้แนบแผนที่ 1:200,000 ไว้เป็นเอกสารอ้างอิง แต่ไม่ได้แปลว่า “ต้องปฏิบัติตามแผนที่นั้นทั้งหมดทุกประการ”
ข้อสังเกต/วิจารณ์:
ข้อนี้เป็นการอธิบายจุดที่สำคัญ — การแนบแผนที่ใน MOU แต่ละฝ่ายอาจตีความต่างกันได้
แต่ในทางปฏิบัติ คู่รัฐมักถือว่าแผนที่แนบท้ายเป็น “หนึ่งในเอกสารอ้างอิง” — การปักปันเขตแดนใหม่ต้องทำให้สอดคล้องกับเอกสารต้นทาง (สนธิสัญญา + แผนที่แนบท้าย) มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ข้อจำกัดอยู่ที่ว่า หากมีจุดที่แผนที่-เอกสารเดิมขัดแย้งกัน หรือไม่ชัดเจน สิทธิในการปรับแก้และเจรจาต่อยังมีอยู่
ดังนั้น ข้อ 3 เป็นข้อที่ค่อนข้าง “มีเหตุผล” — แต่ก็ต้องเข้าใจเงื่อนไขทางกฎหมายและเจตนารมณ์ของคู่สัญญาด้วย
ข้อ 4: ถ้า MOU43 สำเร็จ = ได้แผนที่ใหม่ที่ “ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับ” จริง
ข้ออ้างต้นฉบับ: ผลลัพธ์ของ MOU43 คือการได้แผนที่ที่ถูกต้อง มีพิกัด GPS / ดาวเทียม ยืนยันได้จริง และจะไม่มีใครสามารถ “มาบิด/ย้ายหลักเขต” ได้อีก
ข้อสังเกต/วิจารณ์:
ข้อดีที่กล่าวถึงเป็น “อุดมคติ” — หากสำเร็จได้ตามนั้น แนวทางเป็นไปได้ทางวิชาการ
ในทางปฏิบัติ ปัจจุบัน คู่ไทย-กัมพูชาได้ตกลงจะนำเทคโนโลยีอย่าง LiDAR มาช่วยในการหาแนวสันปันน้ำและประเด็นระดับภูมิประเทศ ซึ่งถือเป็นการก้าวข้ามข้อจำกัดของแผนที่เก่า ๆ
อย่างไรก็ตาม “ไม่มีใครสามารถบิด/ย้ายหลักเขตได้อีก” เป็นข้อความแบบอุดมคติ — ในความเป็นจริง อาจยังมีกรณีข้อพิพาทเฉพาะจุดที่ต้องแก้ไขทางเทคนิค
ประเมินแล้ว ข้อ 4 มีน้ำหนักเป็นเป้าหมายในอุดมคติ มากกว่าจะเป็นเงื่อนไขที่เกิดได้ทันที
ข้อ 5: ถ้ายกเลิก MOU43 → เหลือเพียงแผนที่ 1:200,000 ให้ใช้อ้างอิง
ข้ออ้างต้นฉบับ: เมื่อถอด MOU43 ออกไป ก็ไม่มีกรอบทางเทคนิคให้จัดทำแผนที่ใหม่ — ทำให้ “แผนที่ 1:200,000 เดิม” กลายเป็นมาตรฐานอ้างอิงเพียงหนึ่งเดียว — และ 1:50,000 ไม่มีสถานะทางกฎหมาย
ข้อสังเกต/วิจารณ์:
ข้อสังเกตที่สำคัญคือ MOU43 เป็น “กรอบกลาง” — ไม่มีบทบัญญัติใดที่กล่าวว่า “ถ้าถอดออก → ให้กลับไปใช้แผนที่เดิมโดยอัตโนมัติ”
ฝ่ายกัมพูชาระบุว่า MOU43 ไม่สามารถเพิกถอนฝ่ายเดียวได้ เพราะจดทะเบียนกับ UN และไม่มีเงื่อนไขการยกเลิกฝ่ายเดียวในบันทึกนั้น
หากไม่มี MOU43 ก็อาจเกิดช่วง “อัมพาตทางเทคนิค” — ประเทศทั้งสองอาจพิสูจน์สิทธิผ่านกลไกอื่น เช่น ศาลระหว่างประเทศ — กระบวนการยาวและเสี่ยง
อีกทั้งแผนที่ 1:200,000 แม้ถูกใช้อ้างอิงบ่อยครั้ง แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็น “ผลงานสมบูรณ์” — เพราะยังมีจุดที่ต้องปรับในภาคสนาม
ด้วยเหตุนี้ ข้อ 5 เป็นข้อโต้แย้งที่ “ทรงพลังทางการเมือง” มากกว่าทางเทคนิคเสมอไป
ข้อ 6: MOU43 เป็น “เครื่องมือป้องกัน” ไม่ให้เรื่องขึ้นศาลโลกทันที
ข้ออ้างต้นฉบับ: หากไม่มี MOU43 ฝ่ายกัมพูชาอาจพาเรื่องเข้า “ศาลโลก” ได้ง่ายขึ้น — ซึ่งในศาลโลกไทยอาจเสียเปรียบเพราะไม่มีกรอบเทคนิคกลาง — MOU43 ถูกออกแบบให้เป็นกลไกให้ “เจรจาในระดับทวิภาคี” ก่อน
ข้อสังเกต/วิจารณ์:
ข้อเท็จจริงคือ MOU43 กำหนดว่าเมื่อมีข้อพิพาท ให้ใช้ “การเจรจา/ปรึกษาหารือ” ก่อน ไม่ใช่การฟ้องศาลระหว่างประเทศทันที
โดยที่กัมพูชาเคยอ้างว่า MOU43 ถูกจดทะเบียนกับสหประชาชาติ (UN Treaty Series) และไม่สามารถยกเลิกฝ่ายเดียวได้
แต่ในทางปฏิบัติ หากฝ่ายหนึ่งพยายามนำเรื่องไปสู้ศาลโลกโดยไม่ผ่าน MOU43 อาจถูกคัดค้านว่า “ยังมีพันธกรณีให้เจรจาในกรอบทวิภาคี”
ในอดีตมีข้อถกเถียงว่า MOU43 ถูก “ยกระดับ” ให้ใกล้เคียงสนธิสัญญาผ่านการจดทะเบียนใน UN โดยที่สภาผู้แทนราษฎรไทยอาจไม่ได้พิจารณาอย่างเต็มที่
ดังนั้น ข้อ 6 มีน้ำหนักในมิติ “กลยุทธ์ทางกฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” — แต่ไม่ได้ “การันตีว่าไทยจะชนะเสมอในศาลโลก”
วิเคราะห์ “บานปลาย” — จริงหรือแค่ “ตกใจประเด็น”?
เมื่อประเมินข้อโต้แย้งทั้ง 6 แล้ว เรามาพิจารณาภาพรวม:
ประเด็น ข้อดี/มีเหตุผล ข้อจำกัด/ต้องระวัง
ข้อ 1 (มาตราส่วนแผนที่) ชี้ให้เห็นว่ามาตราส่วนไม่ใช่ตัวตัดสินเขตแดน ไม่อาจสรุปว่าการใช้ 1:200,000 แปลว่า “ยอมรับ” โดยไม่มีเงื่อนไข
ข้อ 2 ยืนยันว่าจุดประสงค์คือ “ปักแนวเขตใหม่” ไม่มีใครได้เปรียบล่วงหน้าโดยไม่ได้เจรจา
ข้อ 3 ตอกย้ำว่า MOU43 ไม่ได้ล็อกให้ต้องใช้แผนที่เดิม ยังต้องอ้างอิงกับเอกสารต้นทาง
ข้อ 4 เป็นเป้าหมายทางอุดมคติที่พึงหวัง ต้องอาศัยความร่วมมือทางเทคนิคสูง
ข้อ 5 สร้าง “ความกลัว” ว่าหากไม่มีกรอบเทคนิคจะตกอยู่ในภาวะเสี่ยง ไม่มีบทบัญญัติบังคับให้กลับไปใช้แผนที่เดิม
ข้อ 6 มีเหตุผลทางกลยุทธ์ — MOU43 เป็น “ด่านแรกทางกฎหมาย” หากจะฟ้องศาลโลก อาจมีการโต้แย้งว่า MOU ยังอยู่ในภาคปฏิบัติ
สรุปเชิงวิเคราะห์: ข้อโต้แย้งเหล่านี้มีน้ำหนักบางส่วน โดยเฉพาะในแง่มุม “ความกลัวถูกเล่นทางการเมือง” — แต่หลายส่วนเป็นการตั้งสมมุติฐานที่ “สุดโต่ง” และไม่อิงกับตรรกะทางกฎหมายหรือกลไกระหว่างประเทศในโลกแห่งความเป็นจริง
ทางออก: ถ้าไม่ยกเลิก MOU43 ต้องทำอะไร? ถ้ายกเลิก — ทางเลือกอยู่ตรงไหน?
เมื่อตั้งคำถามว่า “จะอยู่กับ MOU43 ต่อไป หรือถอยออก?” เรามาดูกลยุทธ์หรือทางเลือกที่อาจนำมาใช้ได้:
กรณี ไม่ถอด MOU43 (คงกรอบเดิมไว้)
1. เสริมเทคนิค-ข้อมูลภาคสนามให้แน่น
ใช้ LiDAR, ดาวเทียม, GPS ความแม่นยำสูง พิสูจน์แนวเขตในจุดที่มีข้อสงสัย
2. เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชน
ให้ประชาชนได้รับรู้ว่า “แผนที่แนบท้าย” เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
3. ยกระดับกลไกเจรจา
เร่งประชุม JBC / อนุกรรมาธิการ / เวทีทวิภาคีให้มีผลงานเป็นรูปธรรม
4. เตรียมยุทธศาสตร์ทางการทูต
หากอีกฝ่ายลุยนำเรื่องเข้าสู่สากล ให้ไทยมีข้อมูลรองรับว่า “เรายังมี MOU43 อยู่ และพร้อมเจรจา”
5. ปรับปรุงแก้ไขภายใน (กฎหมาย/รัฐธรรมนูญ)
ตรวจสอบว่า MOU43 มีสถานะและบทบาทในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายไทยอย่างไร — ถ้ามีจุดอ่อนให้เสริม
กรณี ถอดหรือเพิกถอน MOU43
แม้จะเป็นทางเลือกที่ “เสี่ยง” แต่ก็ยังไม่ใช่ทางตัน — ถ้าจะเดินทางนี้ ไทยควร:
1. เตรียมฐานข้อมูลแน่นหนา
สำรวจภาคสนามให้ครบถ้วนก่อนเพิกถอน — เพื่อสร้างหลักฐานให้แข็งแรง
2. ใช้เวทีระหว่างประเทศแบบมีแผน
ถ้าหากเรื่องขึ้นศาลโลกหรือศาลระหว่างประเทศอื่น ๆ ไทยต้องมี “คลังข้อมูลเทคนิค+ประวัติ MOU43” รองรับ
3. เจรจากับกัมพูชาอย่างแข็งขันต่อเนื่อง
แม้จะเพิกถอน แต่ยังสามารถเสนอข้อตกลงใหม่ — หรือกรอบใหม่ที่อัปเดตสำหรับยุคเทคโนโลยี
4. เตรียมกลยุทธ์ประชาสังคม & ป้องกันปลุกปั่น
เพราะประเด็นชายแดนมักถูกใช้เป็นประเด็นการเมือง — ไทยต้องป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายภายใน
5. สำรองทางลัดทางกฎหมาย
เช่น ให้มีบทบัญญัติภายในกฎหมายไทยว่า ถ้ามีประเทศเพื่อนบ้านยกเรื่องสู่ศาล ให้ไทยมีสิทธิอุทธรณ์ ฯลฯ
ข้อสังเกตเพิ่มเติม &คำถามที่ควรถาม
สิทธิยกเลิกฝ่ายเดียว? กัมพูชาแถลงว่า MOU43 ไม่อาจถูกยกเลิกโดยฝ่ายเดียว เพราะถูกจดทะเบียนกับ UN และไม่มีบทบัญญัติการยกเลิกฝ่ายเดียว
สถานะทางกฎหมายของ MOU43 — แม้มีชื่อว่า “บันทึกความเข้าใจ (MOU)” แต่ในทางนิติรัฐศาสตร์ บันทึกที่มีผลผูกพันระหว่างรัฐอาจถือได้เสมือน “สนธิสัญญา” ในบางเงื่อนไข
คดีในศาลโลก / ระหว่างประเทศ — หากไม่มี MOU43 อยู่ในมือ ฝ่ายไทยอาจเสียเปรียบเมื่อต้องนำประเด็นเข้าศาลโลก
บทบาทของรัฐสภา — ประเด็นว่าการจดทะเบียน MOU43 กับ UN เคยผ่านการพิจารณาในรัฐสภาหรือไม่ เป็นประเด็นถกเถียงในสังคมไทย
สรุปบทสรุป — อย่าแค่สร้างความหวาดกลัว ให้ตั้งคำถาม + แลกเปลี่ยนทางวิชาการ
ต้นฉบับที่อ้างว่า “ยกเลิก MOU43 → เสียดินแดนแน่นอน 100%” เป็นการยกเหตุผลในเชิง “เตือนภัย” ที่หวังสร้างความตื่นตระหนก แต่ถ้ามองลึกเข้าไป จะพบว่า:
หลายข้อที่หยิบมาใช้ มีทั้ง “ส่วนจริง” และ “ส่วนสมมุติฐานสุดโต่ง” ผสมปนกัน
ปัญหาไม่ใช่แค่ “MOU43 อยู่หรือไม่อยู่” แต่เป็น “คุณภาพของข้อมูล เทคนิคการปักเขต เขตทางสังคม-การเมือง” ที่จะรองรับหรือปัดป้องการอ้างสิทธิของอีกฝ่






