เขมรเผย "นักเรียนควรคิด ไม่ใช่แค่ท่องจำ"

     วันนี้ [ตามเวลาท้องถิ่น] กัมพูชาได้ออกมากล่าวว่า "การเรียนรู้เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนนั้น ต้องอาศัยมากกว่าการรู้เพียงข้อเท็จจริง ซึ่งทำให้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ กลายเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เยาวชน เข้าใจบทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง เกินกว่าคำพูดที่อยู่ในตำรา..."

     การสอนแบบดั้งเดิมมักขับเคลื่อนโดยครู และ เน้นการท่องจำภายใต้ห้องเรียนที่เข้มงวด และ มีโครงสร้างที่ชัดเจน ในทางตรงกันข้าม การสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ จะให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ใช้การทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ และ ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง อีกทั้งการสอนเชิงปฏิสัมพันธ์ ซึ่งถือว่าสำคัญมาก เพราะทำให้นักเรียนเป็นผู้เรียนเชิงรุก ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจเชิงลึก และ พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ตามผลการวิจัย

     ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและจิตวิทยาสังคม "เพ็น เซาธีอา" ของมหาวิทยาลัยพัญญาสตราแห่งกัมพูชา กล่าวว่า "ในอดีตนักเรียนส่วนใหญ่ใช้การเรียนแบบท่องจำ ซึ่งหมายถึงการพยายามจำเนื้อหาแต่ขาดความเข้าใจอย่างมีเหตุผล" และ "ผมสอนนักเรียนให้รู้จักวิธีคิด แต่ไม่ใช่สอนว่าควรคิดอะไร จงจำไว้ว่าคุณภาพชีวิต ขึ้นอยู่กับคุณภาพของความคิดของเรา!!" และ "นักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่มักจะ หาเหตุผลข้ออ้างต่างๆในชีวิตมาอ้าง" และ "ผมพยายามสอนให้พวกเขาคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นระบบในชีวิต" และ "มักจะกระตุ้นให้พวกเขาคิดเชิงวิพากษ์อยู่เสมอ รวมถึงเป็นนายของตนเอง เพราะพวกเขา คือ ทรัพยากรมนุษย์ของสังคมกัมพูชา"

     "เพ็น เซาธีอา" กล่าวอีกว่า "ในยุคการแข่งขัน โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ทักษะทั้งเชิงอ่อน และ ทักษะเชิงวิชาชีพ ล้วนสำคัญสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา" และ "ผมยังได้แนะนำให้นักเรียนศึกษาวิชาจิตวิทยาสังคม เพราะจะช่วยให้เข้าใจลักษณะของมนุษย์ที่หลากหลาย" และ "เรียนรู้วิธีควบคุมจิตใจเมื่อต้องเผชิญปัญหาและความยากลำบาก" และ "ปัจจุบันผู้คนมีความวิตกกังวล เครียด และ ซึมเศร้ามากขึ้น ซึ่งอาจรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต"

     ประธานสมาคมครูกัมพูชาอิสระ "อุก ชายาวี" กล่าวว่า "นักเรียนควรฝึกการคิดเชิงวิพากษ์มากกว่าการท่องจำ จากประสบการณ์ของฉัน นักเรียนส่วนใหญ่เพียงแค่จำบทเรียน แต่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีของการศึกษา" และ "คำว่า "จำ" และ "เข้าใจ" ดูเหมือนใกล้กัน แต่มีความสำคัญสำหรับนักเรียน" และ "หากนักเรียนเข้าใจและวิเคราะห์บทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง ก็จะสามารถจำได้ง่ายขึ้น" และ "ฉันขอยืนยันว่าการบรรจุทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ไว้ในหลักสูตรโรงเรียน จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิผล ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน!!" และ "ครูจำนวนมากยังคงยึดติด กับการสอนแบบดั้งเดิม เพราะนักเรียนยังสามารถท่องจำเนื้อหาได้ ในขณะที่บางคนทำไม่ได้ อีกทั้งครูยังรู้สึกกดดันที่จะต้องปฏิบัติตามตารางการสอนของระบบ ซึ่งทำให้ต้องสอนบทเรียนใหม่ แม้ว่านักเรียนบางคนยังไม่เข้าใจบทเรียนที่ผ่านมา..." และ "ครูมักกลัวว่าจะถูกมองว่าอ่อนแอ หากสอนล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งอาจนำไปสู่คำร้องเรียน" และ "ระบบการศึกษาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง และ ไม่ควรเร่งเข้าสู่บทเรียนใหม่ หากนักเรียนยังไม่เข้าใจบทเรียนก่อนหน้า..." และ "มีโรงเรียนบางแห่งให้นักเรียนเลื่อนชั้น ถึงแม้จะสอบไม่ผ่านก็ตาม เนื่องจากความล้มเหลวของโรงเรียน ถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนความสามารถของครู จึงทำให้นักเรียน 9 คนจาก 10 คน ผ่านและเลื่อนชั้น"

     โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬา "ควน วิเจกา" กล่าวว่า "ทางกระทรวงกำลังผลักดันให้โรงเรียนปรับตัว เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง ภายในปี 2030 แผนงานต่างๆ เช่น มาตรฐานวิชาชีพครู และ แผนยุทธศาสตร์การศึกษา มุ่งเน้นการเปลี่ยนการสอนจากการท่องจำไปสู่รูปแบบใหม่" และ "ทางกระทรวงต้องการให้ครู ให้ความสำคัญกับวิธีการสอน ที่สร้างทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การแก้ปัญหาความคิดสร้างสรรค์" และ การเรียนรู้เชิงสืบเสาะ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา และ เตรียมนักเรียนให้มีทักษะขั้นสูง ตามที่ตลาดแรงงานโลกต้องการ"

อ้าง : kiripost