คนไทยควรรับรู้เรื่องจริงในสนามรบ ยิ่งกว่าในหนัง
อ่านไปน้ำตาซึมไป
พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเกษียณอายุราชการแล้วในวันนี้ โดยในพิธีส่งมอบหน้าที่ ท่านได้ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมทำงานในชีวิตราชการ และได้เล่าประสบการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการปะทะ #ชายแดนไทยกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 24 - 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยบทความด้านล่างนี้เป็นคำพูดของผู้บัญชาการทหารสูงสุดทั้งหมด TAF ขอถอดเทปมาให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ
-----------
วันปะทะ #ไทยกัมพูชา
"ไม่ว่าฝ่ายวางแผนจะวางแผนดีขนาดไหน คนพวกนี้เขาเอาชีวิตเข้าแลก เมื่อเช้าผมทำภารกิจสุดท้ายคือขอพบครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 15 คนทีละครอบครัว นั่งคุยและจับมือ แม้จะไม่มีอะไรทดแทน (ผู้ที่เสียชีวิต) ได้ แต่สิ่งที่ทดแทนได้คือการที่เราต้องกอดเขา ฝากให้ทุกคนกอดเขาให้แน่น เพราะคนเหล่านี้คือคนที่รักชาติที่เอาชีวิตเข้าแลกในทุกสถานการณ์
วันที่ 23 กรกฎาคมผมอยู่ในพื้นที่ เรากำลังทำถนนอยู่ และมันก็ใกล้ชายแดนมาก ประมาณ 16.00 น. ทหารเหยียบทุ่นระเบิดห่างจากที่ผมอยู่ประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ทราบว่าคงจะต้องมีสถานการณ์เกิดขึ้น ประมาณ 17.00 น. ผมจึงลงเขามานอนที่เต้นท์กับลูกน้องหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาที่ไปทำถนนขึ้นเขาที่จังหวัดหนึ่ง
พอตีสองรับทราบว่าท่านแม่ทัพภาคที่ 2 สั่งการปิดปราสาทตาเมือนธม ก็รับทราบว่าน่าจะมีการตอบโต้แน่ จึงขอให้เครื่องบินมารับไปกรุงเทพตอนตี 4 เวลา 7.30 น. ประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพในที่ลับที่หนึ่ง เรียนถามผู้บัญชาการทหารบกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ท่านก็เล่าให้ฟัง ถามผู้บัญชาการทหารเรือและทหารอากาศว่าพร้อมไหม ท่านก็บอกว่าพร้อม และเราได้มีการซักซ้อมแผนโต้ตอบมาแล้วหลายครั้ง คุยกันเสร็จจึงตัดสินใจอนุมัติใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถและนำไปสู่ปฏิบัติการยุทธบดินทร์ ผู้บัญชาการทหารบกก็ลงไปหน้าแนว ผู้บัญชาการทหารอากาศไปที่ศูนย์ควบคุมปฏิบัติการทางอากาศที่กองบิน ผู้บัญชาการทหารเรือไปดูเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลังนาวิกโยธินเข้ามาในพื้นที่และกำลังทางเรือที่ออกในทะเลด้วย
วันที่ 24 ผมกลับมาที่กองบัญชาการกองทัพไทย สิ่งที่ปวดใจมากที่สุดคือมีรายงานว่าจรวดของฝ่ายกัมพูชาตกที่ปั้มน้ำมัน ตอนนั้นยังไม่รู้ความสูญเสียแต่รู้ว่าเป้าหมายพลเรือนไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงต้องประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างรวดเร็ว นำวิถีของอาวุธยิงมาคำนวณและเคลื่อนย้ายพลเรือนออกจากแนวให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าหลายคนไม่คุ้นเคยและเป็นห่วงทรัพย์สิน เราก็ต้องมานั่งคิดเรื่องการเฝ้าทรัพย์สินให้เขาด้วย
ตอนเที่ยงผมได้รับรายงานว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์และเด็กที่เสียชีวิต ตอนนั้นเป็นวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตการรับราชการของผม เพราะกองทัพมีหน้าที่ปกป้องประชาชน แต่วันนั้นเราทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ ผมใช้เวลาตั้งสติสักพักและต้องลุยกันต่อ และมุ่งความสนใจไปที่หน้าแนว
การเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่เหมือนเป็นแม่ทัพเพราะว่าต้องดูทั้งสามแนวคือ บก เรือ อากาศ และไซเบอร์ รวมถึงอวกาศด้วย แต่วันนั้นเราถูกระดมยิงหนักมากในพื้นที่ที่เขายิงเขามาจากช่องบกจนถึงช่องสายตะกู 384 กิโลเมตร ในการที่ (กัมพูชา) เลือกที่จะรบกว้างขนาดนี้ทำให้อาวุธยิงสนับสนุนของเราไม่ได้เคลื่อนย้ายง่ายขนาดนั้น ซึ่งมันไม่เหมือนปี 2554 โดยสิ้นเชิง
ขอให้ใจ #ทหารพราน และ #ตชด. เหตุผลก็คือ เพราะเขาถูกถล่มจนเสื้อผ้าแทบไม่เหลือ แต่เขาไม่ทิ้งแนว วันนั้นไม่มีทหารพรานและ ตชด. สักคนที่วิ่งลงมาจากแนวแล้วบอกว่าผมไม่ไหวแล้ว ตอนประมาณ 15.00 น. รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งกำลังเป็นผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนคนใหม่บอกว่า "พี่ครับ RPG ผมหมด" ผมบอกว่าจะหาให้ อันนี้คือสัญชาติญาณนักรบไทยที่เราช่วยกันหมด แต่อยากให้จำไว้ว่า วันที่ 24 กรกฎาคม ทหารพรานและ ตชด. ไม่ทิ้งแนว แม้ว่าเขาจะไม่มีอาวุธสนับสนุนอะไรเลย
วันที่ 25 กรกฎาคม เราเริ่มปรับขบวน เพราะวันที่ 24 กรกฎาคมเราถูกรุก ตอนนี้เรารู้แล้วว่าต้องมุ่งความสนใจที่พื้นที่ไหน วันนี้มีหลายพื้นที่ที่มุ่งความสนใจ แต่พื้นที่หนึ่งที่มุ่งความสนใจเป็นพิเศษเพราะพี่น้องหน่วยปฏิบัติการพิเศษปฏิบัติงานเยอะคือ #ภูมะเขือ ซึ่งเริ่มเข้าตีตั้งแต่ตอนบ่ายของวันที่ 25 กรกฎาคมซึ่งเราเสียสิบเอก จิรายุส อินทุมาน ไป 1 คน เมื่อเช้าผมได้เจอพ่อของเขา พ่อของเขาเคยอยู่ ร.11 ด้วยกัน และได้คุยกัน พ่อเขานิ่งมากและบอกว่าลูกผมกล้าหาญมาก ผมบอกว่าใจ และเข้าใจเลยว่าความกล้าหาญของพ่อมีอยู่ในตัวของลูก
คืนนั้นทั้งคืนรู้ว่ามีการปฏิบัติ ภูมะเขือลักษณะเป็นจะงอย (กัมพูชา) เข้าตีทางด้านข้าง ดังนั้นจะมีกำลังอยู่ 3 ก้อน หน่วยปฏิบัติการพิเศษก็เข้าปฏิบัติร่วมกับหน่วยของกองกำลังสุรนารี ตียึดไปเรื่อย ๆ ตลอดวันที่ 25 กรกฎาคม ก็ยัง 50:50
วันที่ 26 กรกฎาคม เช้ามืด ผมตื่นมาตอนตี 3 เพราะรู้ว่าจะมีปฏิบัติการตอนเช้ามืดแต่ไม่ได้สื่อสารกับหน้าแนว แต่ทราบจากระบบสื่อสารของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ยึดได้และขอให้เพื่อนร่วมชีวิตของเรารอดปลอดภัย แต่ก็ยังไม่ได้รับข่าว ประมาณ 7.00 น. ได้รับข่าวว่ายึดได้แล้ว 90% จากวันแรกที่เป็นจุดต่ำที่สุดจนวันนี้
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า จุดที่เปลี่ยนโมเมนตั้มของการสู้รบครั้งนี้คือภาพแรกของธงไตรรงค์บนภูมะเขือซึ่งถูกส่งมาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เราปักธงไทยสำเร็จ วันนั้นในใจผมรู้แล้วว่าเราไม่แพ้แน่นอน เราทำได้ ถ้าจิตวิญญาณนักรบยังเป็นแบบนี้อยู่เราทำได้"
------------
วางลวดหนามที่ #ปราสาทตาเมือนธม
"ที่ปราสาทตาเมือนธม ตอนที่เราเอาลวดหนามไปวางจะมีคนที่รับผิดชอบในการวางลวดหนามที่ต้องออกจากหลุมปลอดภัยของตัวเองเพื่อไปคุ้มกันคนที่วาง ซึ่งทั้งคนที่วางลวดหนามและคนคุ้มกันถูกยิงด้วยลูกระเบิดจากเครื่องยิงลูกระเบิด โดยมีคนหนึ่งโดนเข้าที่เส้นเลือดดำที่โคนขาหนีบ แต่ความที่เขาถูกฝึกมาดีมากและได้อุปกรณ์ที่ดีคือ IFAK ซึ่งมี Tourniquet เขาใช้อุปกรณ์ปฐมพยาบาลตัวเองเสร็จก็ติดต่อมาหาเพื่อนของเขาคนหนึ่งซึ่งวรพจน์
ตอนนั้นแม้ว่าจะมีแผนอพยพคนเจ็บออกมา แต่คนเจ็บถาโถมเขามาเยอะมาก วรพจน์ด้วยความที่เขารักเพื่อน เขาขอติดรถเกราะ M113 ไปคนเดียวเพื่อไปช่วยรับเพื่อน เขาไปเห็นสภาพอภิวัฒน์ซึ่งเป็นคนเจ็บ จึงไปดึงร่างของอภิวัฒน์เข้าหลุม และดึงคนอื่นเข้าหลุมทั้งหมด เสร็จแล้ววิทยุกลับไปเพื่อขอรถมารับ ซึ่งตอนนั้นรถไปหลายที่มาก
วรพจน์ก็ดูแล้วว่าถ้าปล่อยให้อยู่ตรงนี้อภิวัฒน์ตายแน่เพราะผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เลือดออกเยอะมาก (ตอนที่ผ่าตัดใช้เลือดไป 14 ถุง) ก็เลยตัดสินใจด้วยความที่เป็นนักรบพิเศษด้วยการลากอภิวัฒน์ลงจากเขา 50 เมตรโดยลากแล้วดึงกันไปสองคน แล้วมีรถถังคันหนึ่งผ่านมา ตอนแรกจะฝากรถถังไป แต่รถถังต้องไปหน้าแนว วรพจน์จึงติดต่อไปหาเพื่อนอีกคนบอกว่า M113 ไม่มีแล้วขอรถกระบะมารับหน่อย จนมีรถกระบะมารับเข้าโรงพยาบาล
ระหว่างที่เขาโรงพยาบาลอยู่ หมอกำลังตัดเสื้อผ้าเพื่อทำความสะอาดเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ มีจรวดตกลงมาและมีคำสั่งให้อพยพออกจากโรงพยาบาล แต่หมอและพยาบาลไม่ยอมทิ้งอภิวัฒน์ อยู่ด้วยตลอด 5 ชั่วโมงเพื่อช่วยเหลือ
วันนี้อภิวัฒน์เริ่มเดินได้แล้ว ผมเพิ่งไปเยี่ยมเขาที่สุรินทร์ และได้หมอที่ต่อหลอดเลือดที่เก่งมากที่สุรินทร์รักษาให้ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของเพื่อนร่วมรบ และกำลังพลทุกชั้นยศสำคัญหมด อย่าคิดว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดสำคัญกว่า"
----------------
คืนสุดท้ายที่ #ปราสาทตาควาย
"มีจ่าคนหนึ่งอยู่กับผมที่ภาคเหนือปราบปรามยาเสพติดมาหลายเดือน พอรู้ว่ามีการรบที่อีสานใต้จึงอาสาไปรบ ซึ่งทุกคนอาสาหมด จึงเคลื่อนย้ายมาวันที่ 24-25 กรกฎาคม มาถึงแนววันที่ 27 กรกฎาคม จ่าท่านนี้อาสาเข้าตีที่หมายสุดท้ายในวันที่ 28 กรกฎาคมก่อนหยุดยิง ก่อนขึ้นแนว จ่าเขาก็เขียนไปหาภรรยาบอกว่า "พ่อจะขึ้นแนวนะ จะอยู่คืนหรือสองคืน แล้วจะกลับไปกอด" และเขาก็ขึ้นที่แนว
น้องที่ทุกคนรู้จักคือผู้หมวดบุ๊คอยู่ในชุดโจมตีชุดแรก จ่าคนนี้อยู่ในชุดที่ 4 หมวดบุ๊คเข้าไปแล้วเหยียบทุ่นระเบิด ซึ่งเมื่อคนหนึ่งเหยียบจะมีคนได้รับบาดเจ็บข้าง ๆ ด้วยเสมอ ก็พยายามช่วยกันจนลงไปกองกัน 8 - 9 คน จ่าคนนี้ก็มองเห็นแล้วว่าถ้าเขาไม่ลุกมาจากหลุมปลอดภัยของเขาเพื่อไปช่วยหมวดบุ๊คกับทีมจะต้องตายหมดแน่ทั้ง 8 คน จ่าคนนี้จึงลุกขึ้นไปกราดยิงและใช้ระเบิดขว้างขว้างไปทั้งซ้ายทั้งขวาจนช่วยทั้ง 8 คนมาได้
เสร็จแล้วเขาวิทยุบอกหัวหน้าว่า "ผมขอเข้าตีต่อแทนผู้หมวดบุ๊คที่เหยียบทุ่นระเบิด" ผมถึงบอกว่าสำหรับนักรบพิเศษ ไม่มีคำว่ายอมแพ้ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม จ่าคนนี้ก็พยายามเข้าตีต่อแต่โดนต้านทานอย่างหนักมากเพราะทั้งซ้ายและขวาถูกยิงตลอด ก็สู้สักพักจนตัวเองโดนยิงเข้าที่หมวกเหล็กด้านขวาเสียชีวืต
จ่าท่านนี้คือจ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว จากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กรมรบพิเศษที่ 3
เหมือนในหนัง แต่เป็นสิ่งที่กล้าหาญที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น เพราะเขาไม่ได้สู้อย่างเดียว แต่เขารักเพื่อนของเขา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผมดีใจมากที่ได้ทำภารกิจสุดท้ายคือเจอครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 15 ครอบครัว ไม่ได้ทำเพื่อ PR และจะเป็นความรู้สึกที่ติดอยู่ในจิตใจของเรา"
-----------------
หมายเหตุ: ของขวัญที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษมอบให้กับพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดีที่เห็นในภาพด้านซ้ายคือภาพแรกของธงชาติไทยบนภูมะเขือใส่กรอบจากไม้ที่ทำมาจากลังกระสุนที่ใช้ตีภูมะเขือ และเขียนเพลงความฝันอันสูงสุดเอาไว้

