“สรยุทธ” ขอโทษก้มรับผิด ปมล้อสำเนียงเขมร ยอมรับอินจนเผลอเกินไป
"สรยุทธ" ขอโทษกลางรายการ ปมล้อเลียนสำเนียงกัมพูชา ยอมรับผิดเพราะอิน ยืนยัน "น้องไบรท์" ไม่เกี่ยวข้อง
วันที่ 25 กันยายน 2568 วงการสื่อสารมวลชนของไทยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่อ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ออกมากล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการกลางรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” หลังจากที่เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่เจ้าตัวและทีมงานถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากมีการนำเสนอข่าวด้วยการเลียนเสียงสำเนียงกัมพูชา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการ ล้อเลียนอัตลักษณ์ของชนชาติอื่น
กรณีดังกล่าวกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ทันที มีทั้งกระแสตำหนิ ดราม่า และการเรียกร้องให้ผู้ประกาศข่าวคนดังออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาชี้แจงโดยตรง ยอมรับผิดทุกประการ พร้อมย้ำชัดว่า “น้องไบรท์ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ” ผู้ประกาศข่าวร่วมในรายการ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
จุดเริ่มต้นของดราม่า – จากการเล่าเรื่องไปสู่ความรู้สึก “อิน”
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ในรายการข่าวที่มีการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา โดยมีการพูดถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดน เช่น กรณีบ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน ที่เคยมีเหตุการณ์บุกรุกพื้นที่ รวมถึงสารคดีที่กองทัพไทยเคยเผยแพร่เกี่ยวกับผู้อพยพจากยุคสงครามเขมรแดง
ระหว่างการเล่าข่าวนั้น นายสรยุทธได้ขอให้น้องไบรท์ลองอ่านข่าวด้วย สำเนียงกัมพูชา ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้ผู้ชมจำนวนมากมองว่าเป็นการ “ล้อเลียน” มากกว่าการเล่าเรื่องปกติ ผลที่ตามมาคือเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ โดยหลายเพจสื่อ และอินฟลูเอนเซอร์ด้านสิทธิมนุษยชนต่างออกมาแสดงความไม่พอใจ
แม้บางคนอาจเห็นว่าเป็นเพียงการหยอกล้อหรือเล่าเรื่องอย่างอิน แต่สำหรับผู้ฟังจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้มีเชื้อสายกัมพูชา เห็นว่าเป็นการ กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นชาติและอัตลักษณ์ทางภาษา ซึ่งถือเป็นเรื่องอ่อนไหว
คำขอโทษอย่างเป็นทางการของ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา”
ในวันที่ 25 กันยายน 2568 นายสรยุทธจึงได้ออกมา กล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการ ผ่านรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” โดยมีใจความสำคัญดังนี้
ยอมรับว่า ผิดพลาดเพราะอินเกินไป จนลืมหลักการของความเป็นสื่อ
ยืนยันว่า น้องไบรท์ไม่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างเกิดจากการสั่งการของตนเอง
อธิบายว่า ที่มาของการอิน เกิดจากการดูสารคดีของกองทัพเกี่ยวกับผู้อพยพยุคเขมรแดง ซึ่งสร้างความรู้สึกบางอย่างจนหลุดการควบคุม
ย้ำว่าหลักการสำคัญของสื่อคือต้อง ไม่ล้อเลียนอัตลักษณ์ของชนชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาติใด
คำกล่าวของสรยุทธมีตอนหนึ่งที่น่าสนใจ เขากล่าวว่า
“ผมผิดจริง ๆ ไม่มีข้อแก้ตัว ผมเป็นสื่อ ผมต้องไม่ล้อเลียนอัตลักษณ์ของชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ผิดก็คือผิด พลาดก็คือพลาด ขอให้ด่าผมได้ วิจารณ์ผมได้ แต่ขออย่าพาดพิงน้องไบรท์ เพราะเธอไม่เกี่ยวข้อง”
นอกจากนี้ เขายังย้ำว่า การลบคลิปออกจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ใช่การเงียบหนีความผิด แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบในขั้นต้น เพื่อไม่ให้การกระทำที่ผิดพลาดนั้นแพร่กระจายต่อไป
กระแสสังคมและโลกออนไลน์
หลังจากการออกมาขอโทษของสรยุทธ กระแสในสังคมยังคงแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย
1. ฝ่ายที่ให้อภัย – มองว่าเมื่อเจ้าตัวออกมายอมรับผิดตรง ๆ และขอโทษอย่างจริงใจ ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรชื่นชม และควรให้โอกาสแก้ไข
2. ฝ่ายที่ยังไม่พอใจ – บางกลุ่มมองว่าการขอโทษเพียงคำพูดยังไม่เพียงพอ ควรมีการกระทำเชิงรูปธรรม เช่น การทำกิจกรรมสร้างความเข้าใจระหว่างชาติพันธุ์ หรือการรณรงค์ด้านการสื่อสารอย่างรับผิดชอบ
3. ฝ่ายที่กังวลเรื่องสื่อมวลชน – นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์บางส่วนมองว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในวงการสื่อ ที่บางครั้งผู้ประกาศหรือผู้ผลิตรายการอาจ “อิน” กับเนื้อหามากเกินไป จนลืมหลักจรรยาบรรณ
มิติทางสังคม – ทำไมการล้อเลียนสำเนียงจึงเป็นเรื่องใหญ่
ประเด็นการล้อเลียนสำเนียงภาษาของชนชาติอื่น ไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะในยุคที่สังคมให้ความสำคัญกับ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Diversity) และ การเคารพในอัตลักษณ์ (Identity Respect)
การเลียนสำเนียงอาจดูเหมือนการหยอกล้อ แต่สำหรับผู้ที่ถูกกระทบ อาจรู้สึกว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติ (Racism) หรือการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตนเอง ซึ่งในหลายประเทศประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
ในกรณีของไทยและกัมพูชา ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีทั้งมิตรภาพและความตึงเครียดสลับกันมานาน ดังนั้น การล้อเลียนสำเนียงจึงอาจกระทบความรู้สึกได้มากกว่าที่คิด
บทเรียนสำคัญสำหรับวงการสื่อไทย
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายหยิบยกมาพูดถึง บทบาทของสื่อมวลชน ว่าควรมีขอบเขตและหลักจริยธรรมอย่างไร
1. ความเป็นกลาง – สื่อควรรายงานอย่างไม่เอนเอียง ไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัวเกินไป
2. ความละเอียดอ่อน – โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ ศาสนา หรือวัฒนธรรม ต้องระวังไม่ให้เกิดการเหยียดหรือดูถูก
3. การรับผิดชอบ – เมื่อเกิดความผิดพลาด ต้องกล้าออกมายอมรับและแก้ไข ไม่ปกปิดหรือโยนความผิดให้ผู้อื่น
การออกมาขอโทษของสรยุทธอาจถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่า เมื่อทำผิดพลาด สื่อควรยอมรับตรง ๆ และไม่ผลักภาระไปที่คนอื่น
มุมมองจากผู้ร่วมรายการ – “น้องไบรท์” ไม่เกี่ยวข้อง
ในช่วงท้ายของการชี้แจง “น้องไบรท์ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ” ได้ยกมือไหว้กล่าวคำขอโทษต่อผู้ชมเช่นกัน แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เป็นต้นเหตุของเรื่องราว แต่ก็เลือกที่จะแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้ร่วมรายการ
อย่างไรก็ตาม สรยุทธยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ทุกอย่างเป็นความผิดของผมคนเดียว น้องไบรท์ไม่เกี่ยวข้อง” และเรียกร้องให้สังคมอย่าไปโจมตีผู้ร่วมงาน
ก้าวต่อไปหลังคำขอโทษ
แม้สรยุทธจะออกมาขอโทษแล้ว แต่สิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองคือ “ก้าวต่อไป” ของเขาและวงการสื่อไทย
จะมีมาตรการหรือแนวทางใดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำ?
จะมีการจัดอบรมหรือสร้างความตระหนักให้กับผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศในวงกว้างหรือไม่?
สื่อไทยจะสามารถยกระดับมาตรฐานด้านความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมได้อย่างไร
คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องหาคำตอบในอนาคต
สรุป
เหตุการณ์ “สรยุทธล้อเลียนสำเนียงกัมพูชา” กลายเป็นกรณีศึกษาใหญ่ของวงการสื่อไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ การรักษาจรรยาบรรณ ความเป็นกลาง และความเคารพต่ออัตลักษณ์ของชาติพันธุ์อื่น
แม้เจ้าตัวจะออกมาขอโทษและยอมรับผิดอย่างจริงใจ แต่บทเรียนครั้งนี้ได้ฝากข้อคิดสำคัญไว้ให้กับทั้งสื่อมวลชนและสังคมว่า การสื่อสารไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูล แต่ยังเกี่ยวพันกับความรู้สึก ศักดิ์ศรี และคุณค่าของผู้คน
การเคารพซึ่งกันและกันจึงเป็นหัวใจสำคัญของการนำเสนอข่าวสารในยุคปัจจุบัน




















