นักโทษที่ถูกตัดสิน “จำคุกนานที่สุดในโลก”
เปิดประวัติศาสตร์กับโทษจำคุกที่ยาวนานที่สุดในโลก ที่ยังไม่เคยมีใครลบสถิตินี้ได้เลย นั้นคือ โทษจำคุก 154,005 ปี ของนางชม้อย ทิพย์โส หรือที่รู้จักในนาม แชร์แม่ชม้อย จน Guinness World Records ได้บันทึกสถิติไว้ว่าเป็น “นักโทษที่ถูกตัดสินโทษจำคุกที่ยาวนานที่สุดในโลก”
คดีแชร์แม่ชม้อย คดีดังกล่าวเป็นคดีความผิดพลาดทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงจากการระดมเงินจากประชาชนที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2520-2528 โดยการระดมเงินจากประชาชนในรูปการเล่นแชร์น้ำมัน ซึ่งนางชม้อย ทิพย์โส ได้คิดค้นขึ้น มีผู้เสียหายจำนวน 13,248 คน รวมให้กู้ยืมเงินไปทั้งสิ้น 23,519 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,043,997,795 บาท และผู้เสียหายที่ให้กู้ยืมเงินภายหลังพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินฯ ประกาศใช้บังคับ (ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2527 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2528) เป็นผู้เสียหายจำนวน 2,983 คน รวมให้กู้ยืมเงินไปทั้งสิ้น 3,641 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 510,584,645 บาท
ปมคดีเบื้องลึกเบื้องหลัง คือ นางชม้อย ได้รับการชักชวนจากนายประสิทธิ์ จิตต์ที่พึ่ง เพื่อนร่วมงานที่องค์การน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งได้ทำการค้าน้ำมันอยู่ก่อนแล้ว ให้เข้าร่วมลงทุนค้าน้ำมันด้วย เมื่อทำได้ระยะหนึ่ง นางชม้อย เห็นว่าได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงจริง จึงได้ชักชวนบุคคลอื่น ๆ ให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วยและจากการบอกต่อๆ กันทำให้มีผู้สนใจร่วมลงทุนค้าน้ำมันกับนางชม้อย ด้วยเป็นจำนวนมาก
นางชม้อย ทิพย์โส ได้คิดค้นวิธีการหลอกลวงประชาชนขึ้นโดยอ้างว่า ดำเนินกิจการค้าน้ำมันทั้งในและนอกประเทศ โดยจัดตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ บริษัท ปิโตเลียม แอนด์ มารีน เซอร์วิส จำกัด ทำการค้าน้ำมันทุกชนิด มีเรือเดินทะเลสำหรับขนส่งน้ำมันทั้งในและนอกประเทศ ได้ชักชวนประชาชนให้มาเล่นแชร์น้ำมัน โดยวิธีการรับกู้ยืมเงินจากประชาชนและให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงเป็นรายเดือน โดยกำหนดวิธีการรับกู้ยืมเงินเป็นคันรถบรรทุกน้ำมันคันรถละ 160,500 บาท ให้ผลตอบแทนเดือนละ 12,000 บาท หรือร้อยละ 6.5 ต่อเดือน หรือร้อยละ 78 ต่อปี และในเดือนธันวาคมของทุกปีจะหักเงินไว้ร้อยละ 4 ของผลประโยชน์ที่ได้รับในรอบปี เพื่อเก็บภาษีการค้าและหักค่าเด็กปั้มไว้อีกเดือนละ 100 บาท ตามจำนวนเดือนที่นำเงินมาให้กู้ยืมโดยจะออกหลักฐานไว้ให้เป็นสัญญากู้ยืมเงินตามแบบที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด หรือบางรายจะออกหลักฐานให้เป็นเช็ค โดยผู้ให้กู้ยืมสามารถเรียกคืนเงินต้นเมื่อใดก็ได้และจะกลับมาให้กู้ยืมอีกก็ได้ในเงื่อนไขเดิม
นางชม้อย ทิพย์โสได้จ่ายผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยให้ผู้ให้กู้ตรงตามเวลาที่ นัดหมายทุกเดือน นอกจากนั้นในรายที่จะถอนเงินต้น ก็สามารถถอนได้ทุกราย อีกทั้งนางชม้อยยังทำงานอยู่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยอีกด้วย ทำให้หลงเชื่อนำเงินไปให้ผู้ต้องการกู้ยืมโดยมีผู้ถูกหลอกลวงกว่าหมื่นรายและวงเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ในช่วงแรกผู้ให้กู้ยืมอยู่ในหมู่ผู้ที่มีฐานะการเงินดี แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกไปรวมทั้งประชาชนในต่างจังหวัดก็นิยมและได้แพร่หลายลงไปถึงประชาชนผู้มีฐานะการเงินไม่ดีก็สามารถเล่นได้ โดยแบ่งเล่นเป็นล้อคือ หนึ่งในสี่ของจำนวนเงินต่อคันรถน้ำมัน มีประชาชนและผู้เสียหายในคดีนี้จำนวน 13,248 คน หลงเชื่อ ซึ่งต่างคนต่างให้กู้ยืมเงินไป 23,519 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,043,997,795 บาท ในการกู้ยืมเงิน เป็นการให้กู้ยืมโดยตรงและการกู้ยืมเงินโดยผ่านคนกลาง หลักฐานการกู้ยืมเงินจะมีสัญญากู้เงินซึ่งมีลายมือชื่อนางชม้อย เป็นผู้กู้ยืม ผลประโยชน์ตอบแทนที่ผู้ให้กู้ยืมการรับผลประโยชน์ตอบแทนของผู้ให้กู้ยืมมีทั้งรับจากนางชม้อยฯ โดยตรงหรือรับจากคนกลางเหล่านั้น การรับผลประโยชน์ตอบแทนผู้ให้กู้ยืมได้รับเป็นเงินสดหรือเป็นเช็ค ซึ่งนางชม้อยได้เปิดบัญชีไว้กับธนาคารในนามของตนเองก็มี บางบัญชีเปิดในนามของบุคคลอื่นเพื่อสั่งจ่ายเช็คเป็นผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ให้กู้ยืม และนำเช็คของผู้ให้กู้ยืมเข้าบัญชีที่ได้เปิดไว้ สำหรับเงินที่กู้ยืมมานั้น นางชม้อย อ้างว่า ได้นำไป ใช้สนับสนุนในด้านการเงินของบริษัทปิโตรเลี่ยมแอนมารีนเซอร์วิสเซส จำกัด และบริษัทอุดมข้าวหอมไทย จำกัด ซึ่งบริษัททั้ง 2 ได้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ และนางชม้อย ได้นำผลประโยชน์ตอบแทนเหล่านั้นไปจัดสรรให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงินตามสัดส่วนของเงินที่ให้กู้ยืมแต่ละราย
จากการตรวจสอบของกรมสรรพากร พบว่านางชม้อยฯ มีบัญชีเงินฝาก 2 ประเภท คือประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวัน โดยมีข้อตกลงกับธนาคารว่าให้โอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์เข้ามาบัญชีกระแสรายวันได้เมื่อมีการสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินออกไปจากบัญชีกระแสรายวัน และจากการตรวจสอบหลักฐานการฝากถอนเงินในบัญชีเงินฝากของนางชม้อย กับพวกเห็นว่า นางชม้อย กับพวก จ่ายดอกเบี้ยให้ประชาชนเพิ่มขึ้นทุกปี อันเนื่องมาจากมีผู้ร่วมลงทุนเพิ่มมากขึ้นซึ่งแท้จริงแล้วนางชม้อย กับพวกไม่ได้ทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและไม่ได้ประกอบกิจการค้าอื่นใดที่จะได้ผลตอบแทนเพียงพอที่จะนำมาจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ผู้ให้กู้ได้สูงถึงร้อยละ 6.5 ต่อเดือน แต่นางชม้อย กับพวกได้นำเงินที่กู้ยืมจากประชาชนและผู้เสียหายไปใช้ประโยชน์ส่วนตน โดยนำไปซื้อทรัพย์สินมีค่าจำนวนมากและได้ปกปิดอำพรางซุกซ่อนไว้ และในที่สุดได้ร่วมกันเอาเงินและทรัพย์สินดังกล่าวหลบหนีไป
วิธีการในการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ประชาชน ในอัตราร้อยละ 6.5 ต่อเดือน ใช้วิธีการจัดคิวเงินโดยการนำเงินไปฝากธนาคารไว้แล้วเอาเงินต้นและดอกเบี้ยมาทยอยหมุนเวียนจ่ายเป็นผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ 6.5 ต่อเดือน ถ้ามีผู้นำเงินมาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงร้อยละ 5-6 เท่านั้น ก็จะสามารถหมุนเวียนจ่ายเป็นดอกเบี้ยได้ตลอดไปแต่ถ้าไม่มีผู้นำเงินมาลงทุนเพิ่มก็จะจ่ายดอกเบี้ยได้ในระยะแรกเท่านั้นในที่สุดเงินต้นที่สะสมไว้จะหมดและไม่สามารถคืนเงินต้นให้ประชาชนได้ในที่สุด
คดีนางชม้อย ทิพย์โส ได้ใช้เวลาสืบพยานในศาลเป็นเวลาประมาณ 4 ปี จนศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อ 27 กรกฎาคม 2532 ศาลอาญาจึงได้พิพากษาว่า จำเลยทั้งแปดมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก 83 รวม 23,519 กระทง ฐานฉ้อโกงประชาชนตามพระราชกำหนด การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4, 5, 12 รวม 3,641 กระทง เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป โดยจำคุกจำเลยทั้งแปด ฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก กระทงละ 5 ปี รวม 23,519 กระทง จำคุกคนละ 117,595 ปี ฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4, 5, 12 กระทงละ 10 ปี รวม 3,641 กระทง จำคุกคนละ 36,410 ปี รวมจำคุกคนละ 154,005 ปี
จากคดีแชร์ชม้อยถือเป็นหนึ่งในคดีฉ้อโกงประชาชนครั้งประวัติศาสตร์ของไทยในช่วงทศวรรษ 2520 โดยมีรูปแบบเป็นการระดมทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ที่ให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว ทำให้มีประชาชนและผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากหลงเชื่อเข้าร่วมลงทุนมากกว่า 16,241 คน สร้างความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล ด้วยจำนวนผู้เสียหายที่มากมาย ศาลจึงพิจารณาลงโทษนางชม้อยในฐานความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว จึงนำมาสู่ตัวเลขคำพิพากษาที่สูงถึง 154,005 ปี และได้รับการบันทึกโดย Guinness World Records ว่าเป็นโทษจำคุกที่ยาวนานที่สุดในโลก
แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกทั้งสิ้นคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ที่แก้ไขแล้ว และให้จำเลยทั้งแปดคนร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกงประชาชน รวมจำนวน 4,043,997,795 บาท แก่ผู้เสียหายแต่ละคนตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ ร่วมกันคืนเงินกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน รวมจำนวน 510,584,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่ผู้เสียหายแต่ละคนตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข 2 นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนเงินเสร็จคดี ดังกล่าวได้ถึงที่สุดโดยไม่มีการอุทธรณ์ ซึ่งเมื่อมีคำพิพากษาแล้วทรัพย์สินของนางชม้อยฯ กับพวกได้ถูกเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้เสียหายในคดี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงคงจำคุกทั้งสิ้นคนละ 20 ปี เพราะประมวลกฎหมายอาญาให้จำคุกไม่เกิน 20 ปี และให้นางชม้อย กับพวกร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกงด้วย นางชม้อย จำคุกอยู่ในเรือนจำเพียง 7 ปี 11 เดือน 5 วัน เพราะได้รับการลดลงโทษ 2 ครั้ง และพ้นโทษเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2536
บทเรียนหลังจากเกิดคดีแชร์ชม้อย ได้มีการจัดตั้งพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2534 กล่าวคือ ทำให้การเล่นแชร์ถูกกฎหมาย โดยระบุห้ามนิติบุคคลเป็นนายวงแชร์ ห้ามนายวงแชร์ตั้งวงเกิน 3 วง และจำกัดสมาชิกในวงแชร์ทุกวงเกิน 30 คน รวมจำกัดเงินกองกลางแชร์แต่ละงวดห้ามเกิน 300,000 บาท
***************














