ส่อเลื่อน! โครงการคนละครึ่ง 60:40 อาจสะดุด หากงบฯ ไม่เพียงพอ
โครงการคนละครึ่ง 2568 เวอร์ชันใหม่ 60:40 ภายใต้รัฐบาลอนุทิน เล็งช่วยประชาชน–กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
โครงการ “คนละครึ่ง” ถือเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระค่าครองชีพแล้ว ยังสร้างสภาพคล่องให้กับร้านค้ารายย่อยและผู้ประกอบการขนาดเล็กได้อย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุด ภายใต้รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทย ได้มีการเปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการนำโครงการนี้กลับมาอีกครั้งในปี 2568 แต่คราวนี้มีการปรับเงื่อนไขใหม่เป็น “คนละครึ่ง 60:40”
แม้ในตอนแรกจะมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลเตรียมเปิดให้ประชาชนใช้สิทธิได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 แต่ล่าสุด นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า อาจต้องมีการ เลื่อนเวลาเริ่มโครงการออกไป เนื่องจากจำเป็นต้องตรวจสอบงบประมาณกว่า 25,000 ล้านบาท และตรวจสอบความพร้อมของระบบให้รอบคอบก่อนดำเนินการจริง
เงื่อนไขโครงการคนละครึ่ง 60:40 ปี 2568
โครงการเวอร์ชันใหม่นี้มีการปรับสัดส่วนการสนับสนุนของรัฐให้แตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ประมาณ 11 ล้านคน)
ได้รับสิทธิ 60:40
หมายความว่า รัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ 60% ขณะที่ประชาชนจ่ายเองเพียง 40%
เป็นมาตรการจูงใจให้ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีรู้สึกว่ามีสิทธิประโยชน์มากกว่าผู้ที่อยู่นอกระบบ
2. กลุ่มประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ได้รับสิทธิ 50:50
รัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่าย 50%
ยังคงรักษาหลักการเดิมเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพสำหรับประชาชนส่วนใหญ่
งบประมาณกว่า 25,000 ล้านบาท กับคำถามเรื่องความพร้อม
กระทรวงการคลังยืนยันว่า ได้เตรียมงบประมาณประมาณ 25,000 ล้านบาท ไว้รองรับโครงการแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า 50,000 ล้านบาท หรืออาจสูงถึง 100,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนโยบายย้ำว่า ต้องตรวจสอบความพร้อมของระบบ เช่น
งบกลาง และงบกันเหลื่อมปี ว่ามีเพียงพอหรือไม่
ระบบแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ต้องพร้อมรองรับการใช้งานของผู้ใช้หลายสิบล้านคน
การลงทะเบียนและยืนยันตัวตนต้องไม่เกิดความล่าช้า
หากไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนเดือนตุลาคม 2568 ก็อาจเลื่อนไปช่วงปลายปี หรือออกมาในรูปแบบ “เวอร์ชัน 2” เพื่อให้ระบบสมบูรณ์และไม่เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา
จุดยืนด้านนโยบายรถไฟฟ้า – 20 บาทตลอดสายเป็นไปไม่ได้
นอกจากมาตรการด้านเศรษฐกิจ พรรคภูมิใจไทยยังได้ออกมาเคลียร์ประเด็นเกี่ยวกับ นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า ที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก
นายสิริพงศ์ยืนยันว่า ภายใน 4 เดือนนี้ อาจมีมาตรการลดค่าโดยสารออกมา แต่จะ ไม่ใช่ราคา 20 บาทตลอดสาย อย่างที่เคยมีการหาเสียงไว้ โดยรูปแบบที่เป็นไปได้คือ
เก็บค่าแรกเข้าครั้งเดียว
คิดค่าโดยสารตามระยะทางจริง
กำหนดราคาสูงสุดไว้ประมาณ 30, 40 หรือ 45 บาท ซึ่งอาจแตกต่างกันในแต่ละสาย
ทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติตั๋วร่วม เพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะให้ใช้งานได้อย่างสะดวกและเป็นธรรม
ขณะที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า ตัวเลข “20 บาทตลอดสาย” ของพรรคเพื่อไทยไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง และอาจเป็นเพียงตัวเลขที่ใช้หาเสียงเท่านั้น การผลักดันนโยบายดังกล่าวต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลจากภาษีประชาชนมาชดเชยภาคเอกชน
ดังนั้น สิ่งที่ถูกต้องคือควรศึกษาต้นทุนที่แท้จริงก่อน เพื่อให้รัฐอุดหนุนเท่าที่จำเป็น และต้องพิจารณาระบบขนส่งสาธารณะโดยรวม ทั้งรถไฟฟ้าและรถโดยสารประจำทาง เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
ขั้นตอนลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง 2568
สำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปฯ เป๋าตัง
iOS ต้องมีเวอร์ชัน 15.0 ขึ้นไป (ดาวน์โหลดผ่าน App Store)
Android ต้องมีเวอร์ชัน 9.0 ขึ้นไป (ดาวน์โหลดผ่าน Google Play Store)
2. ยืนยันตัวตนสำหรับผู้ใช้งานใหม่
เปิดแอปฯ เป๋าตัง และยอมรับเงื่อนไขการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล
เลือกเมนู G-Wallet เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนยืนยันตัวตน
เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และเลือกวิธีถ่ายภาพหน้าบัตร
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ชื่อ–นามสกุล เลขบัตรประชาชน
กรอกหมายเลขโทรศัพท์มือถือ เพื่อรับรหัส OTP 6 หลัก
นำรหัส OTP ที่ได้รับทาง SMS มากรอกในแอปฯ เพื่อยืนยัน
3. ยืนยันตัวตนทางเลือกสำหรับผู้ที่มีแอปฯ Krungthai NEXT
เลือกการยืนยันผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ได้
ระบบจะเชื่อมต่อกับแอปฯ เป๋าตัง ให้ยืนยันตัวตนด้วย PIN และ OTP
4. กดยืนยันเพื่อรับสิทธิ์
หลังจากยืนยันสำเร็จแล้ว ระบบจะแจ้งผลการลงทะเบียน
ผู้ได้รับสิทธิสามารถเริ่มใช้โครงการได้ทันทีหลังจากโครงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ความเห็นจากภาคเอกชน
ผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าเห็นด้วยกับการกลับมาของโครงการนี้ เพราะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนและทำให้เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนได้เร็วที่สุด โดยคาดว่าเม็ดเงินงบประมาณ 25,000 ล้านบาทจะสร้าง เงินสะพัดในระบบกว่า 2–4 เท่า
ภาคธุรกิจเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยกลับมาคึกคักในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลสำคัญ
บทสรุป
โครงการ คนละครึ่ง 60:40 ปี 2568 ภายใต้รัฐบาลนายอนุทิน เป็นหนึ่งในมาตรการที่สังคมจับตามองมากที่สุด แม้จะมีการเปลี่ยนเงื่อนไขจากเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาหลักการช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนไว้เช่นเดิม
กลุ่มผู้เสียภาษีได้สิทธิพิเศษ 60:40
ประชาชนทั่วไปได้สิทธิ 50:50
งบประมาณรองรับ 25,000 ล้านบาท
คาดว่าเงินหมุนเวียนในระบบจะสูงถึง 100,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือความพร้อมของงบประมาณและระบบการลงทะเบียน ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าโครงการนี้จะเริ่มได้จริงในเดือนตุลาคม 2568 หรืออาจต้องเลื่อนไปในภายหลัง
ในภาพรวมแล้ว โครงการนี้ไม่เพียงช่วยประชาชนประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพที่สุดในช่วงเวลาที่ประชาชนยังเผชิญกับค่าครองชีพสูง
















