พระสงฆ์กับพวงมาลัยและกฎแห่งกรรม
ภาพสร้างมาจาก AI
เรื่องพระขับรถไม่ใช่ของใหม่ หลายคนคงเคยเห็นแล้วแอบคิดในใจว่า
“เอ๊ะ พระควรจับพวงมาลัยเองจริงเหรอ?”
แต่ที่ผ่านมาเราก็ปล่อยให้มันกลายเป็นเรื่องปกติของบางวัด จนกระทั่งวันที่ 10 กันยายน 2568 เกิดข่าวใหญ่ที่บุรีรัมย์ พระขับรถเก๋งสีดำ ไม่มีภาษี ไม่มี พ.ร.บ. ไม่มีใบขับขี่ พุ่งชนคุณยายวัย 72 ปีเสียชีวิต… นี่แหละที่ทำให้สังคมหันมาถามจริงจังว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเคลียร์เรื่อง “พระกับพวงมาลัย” ให้ชัดสักที
จริง ๆ พระวินัยไม่ได้เขียนห้ามขับรถไว้ตรง ๆ เพราะในสมัยพุทธกาลยังไม่มีรถยนต์ให้ต้องบัญญัติ แต่แก่นของการบวชคือความเรียบง่ายและการเว้นจากความสะดวกสบายเกินจำเป็น เพราะฉะนั้นเวลาพระไปขับรถ มันจึงกลายเป็น “พื้นที่สีเทา” อาจไม่ได้ผิดวินัยชัด ๆ แต่ก็ไม่ตรงกับจารีตดั้งเดิมที่พระควรดำเนินชีวิต หลายวัดเลยเลือกที่จะ “ปล่อยผ่าน” เพราะสะดวกกว่า
แต่ในปัจจุบัน พระพยอม กัลยาโณ เคยพูดชัดตั้งแต่ปี 2567 ว่า คณะสงฆ์ได้ออกกฎแล้วว่า “พระห้ามขับรถ” เพื่อกันปัญหาที่พระไม่มีลูกศิษย์ติดตามจนต้องทำทุกอย่างเอง และเพื่อรักษาภาพลักษณ์สมณสารูป ยิ่งเมื่อมีข่าวพระขับรถพร้อมขวดเหล้าในรถ ก็ยิ่งสะท้อนปัญหาร้ายแรง พระพยอมถึงกับเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรมนี้ทันทีเพื่อเห็นแก่พระรูปอื่นที่ยังรักษาพระธรรมวินัย แต่ถึงจะมีกฎออกมาแล้ว ความจริงที่เห็นคือ การบังคับใช้ยังไม่เข้ม และสังคมรอบ ๆ ก็ยังทำเป็นไม่เห็น
ที่หนักกว่านั้นคือ รถที่ชนเป็น “รถวัด” แต่แม่พระก็เล่าว่าซื้อให้ลูกชายใช้เรียนมาก่อน แสดงว่าเส้นแบ่งระหว่างของวัดกับของบ้านมันเบลอจนสับสน พอเอามาผูกกับความศรัทธาของชาวบ้าน รถวัดเลยกลายเป็นเหมือนมีภูมิคุ้มกันพิเศษ ทั้งที่ในกฎหมาย รถทุกคันต้องเหมือนกันหมด ต่อภาษี มี พ.ร.บ. และคนขับต้องมีใบขับขี่ คำถามคือ เราจะยังปล่อยให้ “รถวัด” เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ที่หลบกฎหมายไปได้อีกนานแค่ไหน?
แม่พระที่ก่อเหตุก็พูดถึง “เจ้ากรรมนายเวร” และ “กฎแห่งกรรม” ซึ่งแน่นอนว่าช่วยปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันมันก็ดูเหมือนการผลักภาระไปให้สิ่งเหนือธรรมชาติจัดการ ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าพระก่อเหตุถึงขั้นมีคนเสียชีวิต ทางเดียวที่ตรงไปตรงมาคือ “สึก” แล้วเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะโทษทางกฎหมายก็คือ “กรรม” แบบหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผลัดไปชาติหน้าได้
ถ้ามองแบบพุทธแท้ ๆ พระแทบไม่จำเป็นต้องขับรถเลยด้วยซ้ำ เพราะวิถีชีวิตดั้งเดิมคือเดินบิณฑบาต และมีญาติโยมคอยอุปัฏฐาก แต่ในโลกสมัยใหม่ หลายวัดอยู่ไกลชุมชน พระบางรูปต้องเดินทางไปเรียน ไปกิจนิมนต์ หรือไปธุระจำเป็น จนเกิดข้ออ้างเรื่อง “ความสะดวก” จนเลือกที่จะขับรถเอง แต่ความสะดวกนั้นกลับกลายเป็นความเสี่ยงที่โยนภาระไปยังชาวบ้านผู้ใช้ถนน อย่างที่คุณยายวัย 72 ปีต้องสังเวยชีวิตในครั้งนี้
ถ้ามองหาทางออกจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก วัดอาจจัดให้มีอุบาสกอุบาสิกาประจำที่ช่วยขับรถเวลาออกนอกพื้นที่ หรือสร้างระบบสนับสนุนจากชุมชน เช่น กองทุนช่วยเรื่องค่าเดินทาง การบริหารจัดการให้พระเดินทางโดยสาธารณะ หรือรถที่มีฆราวาสขับแทน วิธีเหล่านี้ไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังช่วยให้พระคงไว้ซึ่งสมณสารูปโดยไม่ต้องลงไปคลุกคลีกับพวงมาลัยเอง





















