อ.ธรณ์ แสดงความเสียใจ เหยื่อถูกสิงโตขย้ำดับ ย้ำไม่ควรฆ่าสัตว์เพราะทำตามสัญชาตญาณ
อ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย “พี่เจียน” เจ้าหน้าที่ซาฟารีเวิลด์ – ชี้สัตว์ไม่ควรถูกลงโทษเพราะทำตามสัญชาตญาณธรรมชาติ
โศกนาฏกรรมสะเทือนใจเกิดขึ้นอีกครั้งในวงการสวนสัตว์ของไทย เมื่อ นายเจียน วัย 58 ปี เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสัตว์โซนซาฟารีปาร์คของสวนสัตว์ชื่อดัง “ซาฟารีเวิลด์” ถูกสิงโตจำนวนหลายตัวรุมกัดต่อหน้านักท่องเที่ยวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความสะเทือนใจแก่ครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน แต่ยังกลายเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมถึงประเด็นความปลอดภัย มาตรการควบคุม และที่สำคัญคือการมองสัตว์ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีสัญชาตญาณตามธรรมชาติ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางวันแสก ๆ
ตามรายงานเบื้องต้น เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังเข้าชมสัตว์ในโซนซาฟารีปาร์ค ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขับรถเข้าไปชมสัตว์ป่าจากระยะใกล้ รายงานระบุว่าในจังหวะหนึ่ง นายเจียนเผลอทำของตกลงไปนอกรถ ด้วยความเคยชินและอาจไม่ทันคิด เขาจึงเปิดประตูและก้มลงไปเก็บสิ่งของนั้น ขณะที่หันหลังให้กับสิงโตที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ทันใดนั้น สิงโตตัวหนึ่งได้พุ่งเข้ามาตะครุบจากด้านหลัง และในเวลาไม่กี่วินาที สิงโตตัวอื่น ๆ อีกประมาณ 3-4 ตัวก็เข้ามารุมกัดซ้ำ เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้านักท่องเที่ยวจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่ หลายคนพยายามบีบแตรเพื่อไล่สิงโตออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะสัตว์เหล่านี้อยู่ในสภาวะสัญชาตญาณล่าเหยื่อที่ควบคุมได้ยาก
แม้จะมีความพยายามช่วยเหลือ แต่นายเจียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ท่ามกลางความสะเทือนใจของผู้เห็นเหตุการณ์
อ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แสดงความเห็น: “สัตว์ไม่ผิด”
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อเสียง ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat โดยกล่าวแสดงความเสียใจกับการสูญเสียครั้งนี้ พร้อมทั้งสะท้อนมุมมองอีกด้านที่น่าคิด
เขาเขียนไว้ว่า
“ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่จากไป แต่ไม่อยากให้สัตว์ต้องตายเพราะแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ป่า”
มุมมองนี้ทำให้หลายคนหันกลับมาทบทวนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความผิดพลาดของมนุษย์ที่อาจละเลยมาตรการระมัดระวัง มากกว่าจะเป็น “ความผิด” ของสัตว์ที่เพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณของตนเอง
เสียงสะท้อนจากชาวเน็ต: “อย่าลงโทษสัตว์เพราะความผิดพลาดของคน”
หลังโพสต์ของอ.ธรณ์เผยแพร่ไม่นาน ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมุมมองดังกล่าว หลายความคิดเห็นชี้ให้เห็นว่า สัตว์ป่ายังคงมีสัญชาตญาณดิบ แม้จะถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมกึ่งธรรมชาติในสวนสัตว์ก็ตาม การลงโทษหรือสังหารสัตว์เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
หนึ่งในความคิดเห็นที่ได้รับการแชร์อย่างมากคือ
“เอากฎของคนไปใช้กับสัตว์ไม่ได้ เอาเค้ามาขังมาเป็นของโชว์ให้คนดู เมื่อเกิดความผิดพลาดจากความประมาทของคน แล้วไปลงโทษโดยการทำร้ายพวกเค้าอีก มันเกินไป”
อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า
“เห็นด้วยค่ะ สัตว์ไม่ผิดอะไรเลย สิงโตในซาฟารีไม่ได้ถูกเลี้ยงใกล้ชิดหรือปรับพฤติกรรมจนชินกับคนขนาดนั้น สัญชาตญาณสัตว์ป่ายังคงอยู่เต็มที่ เคสนี้น่าเสียใจมาก แต่ไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการฆ่าสัตว์”
คำถามที่สังคมตั้งต่อสวนสัตว์
แม้หลายคนเห็นใจสัตว์และไม่ต้องการให้ถูกลงโทษ แต่ในอีกมุมหนึ่ง สังคมก็ตั้งคำถามถึงมาตรการด้านความปลอดภัยของสวนสัตว์ว่า มีมาตรฐานมากพอหรือไม่ในการป้องกันเหตุไม่คาดคิด
บางคนตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดจึงไม่มีระบบป้องกันหรือตอบสนองฉุกเฉินที่สามารถช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ได้อย่างทันท่วงที เช่น ระบบเสียงเตือน การใช้สัญญาณ หรือวิธีการเบี่ยงเบนความสนใจของสัตว์โดยไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
หนึ่งในความคิดเห็นสะท้อนว่า
“สวนสัตว์ประมาทหรือเปล่า? มาตรการมีมาตรฐานขนาดไหน? การบีบแตรไล่สัตว์อาจทำให้ตกใจ แต่ถ้าไม่มีวิธีช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินเลย มันสะท้อนว่าความปลอดภัยยังไม่ถูกคิดอย่างรอบคอบพอ”
มุมมองด้านสวัสดิภาพสัตว์
กรณีนี้ยังทำให้เกิดการถกเถียงเรื่อง “สวัสดิภาพสัตว์” (Animal Welfare) อย่างกว้างขวาง เพราะในความเป็นจริง สัตว์ที่ถูกนำมาแสดงหรือนำมาเลี้ยงในพื้นที่กึ่งธรรมชาติ ไม่ได้สูญเสียสัญชาตญาณดิบไป พวกมันยังคงมีพฤติกรรมพื้นฐานของสัตว์นักล่าอยู่เต็มที่
นักอนุรักษ์บางรายให้ความเห็นว่า การเลี้ยงสัตว์ป่าเพียงเพื่อความบันเทิงของมนุษย์ย่อมมีความเสี่ยง และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น สิ่งที่ควรถูกตั้งคำถามคือ “การจัดการของคน” มากกว่าการโทษสัตว์
ครอบครัวผู้เสียชีวิต: สูญเสียเสาหลักโดยไม่ทันตั้งตัว
ด้านครอบครัวของผู้เสียชีวิต ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยน้ำตาว่า การจากไปครั้งนี้เหมือนการสูญเสียเสาหลักของบ้าน พี่เจียนเป็นทั้งพี่ชายที่คอยดูแลน้อง ๆ หลังจากแม่เสียชีวิต และยังทำหน้าที่หลักในการดูแลค่าใช้จ่ายครอบครัว
น้องสาวเล่าว่า ครอบครัวเตือนเขาเสมอให้ระวังการทำงาน โดยเฉพาะการดูแลสัตว์ใหญ่เช่นสิงโต แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งสิ่งที่กลัวที่สุดจะเกิดขึ้นจริง ทั้งที่พี่เจียนเหลือเวลาเพียง 2 ปีก็จะเกษียณแล้ว
ความจำเป็นของมาตรการใหม่
เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยของสวนสัตว์ไทยในหลายด้าน ได้แก่
1. มาตรการป้องกันความผิดพลาดของบุคลากร – เจ้าหน้าที่ควรได้รับการฝึกอบรมเข้มข้นเกี่ยวกับการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามลงจากรถในพื้นที่เสี่ยง
2. การพัฒนาระบบช่วยเหลือฉุกเฉิน – สวนสัตว์ควรมีเครื่องมือหรือสัญญาณที่สามารถใช้เบี่ยงเบนความสนใจของสัตว์ได้โดยไม่สร้างความเจ็บปวดหรือกระทบสวัสดิภาพสัตว์
3. การทบทวนบทบาทของสวนสัตว์ – คำถามใหญ่คือ สวนสัตว์ควรมีหน้าที่เพียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือควรหันไปเน้นการอนุรักษ์และให้ความรู้แก่สังคมมากกว่า
โศกนาฏกรรมที่พรากชีวิตของเจ้าหน้าที่มากประสบการณ์เช่นนี้ เป็นบทเรียนที่ทั้งสังคมไม่ควรมองข้าม มันสะท้อนให้เห็นว่า การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่าย่อมมีความเสี่ยง และความผิดพลาดเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่
ในขณะเดียวกัน มันยังเตือนใจให้เราเข้าใจว่า สัตว์ป่าไม่ใช่สิ่งผิด พวกมันเพียงทำตามสัญชาตญาณที่ถูกปลูกฝังมานับพันปี หากจะมีสิ่งใดที่ควรได้รับการทบทวน นั่นคือการจัดการของมนุษย์ที่เลือกจะนำสัตว์มาอยู่ในพื้นที่ควบคุม เพื่อการแสดงและความบันเทิง
สรุป
เหตุการณ์สลดที่ “ซาฟารีเวิลด์” ครั้งนี้ ทำให้สังคมได้ตระหนักถึงหลายประเด็น ทั้งการสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ผู้ทุ่มเท การตั้งคำถามถึงความปลอดภัย และที่สำคัญคือการมองสัตว์ป่าอย่างเป็นธรรม
อ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้สะท้อนมุมมองที่ลึกซึ้งและได้รับการเห็นด้วยจากสังคมอย่างกว้างขวางว่า สัตว์ไม่ควรถูกลงโทษเพียงเพราะทำตามธรรมชาติของมัน และสิ่งที่ควรถูกทบทวนคือมาตรการจัดการของมนุษย์เอง
แม้ความสูญเสียครั้งนี้จะไม่สามารถย้อนคืนชีวิตของ “พี่เจียน” ได้ แต่หวังว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย รวมถึงทบทวนบทบาทของสวนสัตว์ในอนาคต เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก







