สื่อนอกเทียบ “กรีซ” คือ “ไทยแห่งยุโรป” นักท่องเที่ยวทะลัก แต่ชาวบ้านยังจน
กรีซ : “ประเทศไทยแห่งยุโรป” เมื่อชาวบ้านถูกผลักออกจากวันหยุดในบ้านของตัวเอง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กรีซถือเป็นหนึ่งในประเทศที่นักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกต่างหมายตา อยากเดินทางไปสัมผัสความงดงาม ไม่ว่าจะเป็นหมู่เกาะซานโตรินี (Santorini) ที่ขึ้นชื่อเรื่องบ้านสีขาวริมหน้าผาและพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนติก หรือเกาะครีต (Crete) ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน รวมถึงชายหาดน้ำทะเลใสในหมู่เกาะต่าง ๆ ที่ดึงดูดผู้คนจากยุโรป อเมริกา และเอเชียอย่างล้นหลาม
ปีที่ผ่านมา กรีซต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงกว่า 36 ล้านคน สร้างรายได้มหาศาลกว่า 21,700 ล้านยูโร หรือประมาณ 850,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระหนี้สาธารณะลงได้ในระดับหนึ่ง จนถูกยกให้เป็นกรณีศึกษาของประเทศที่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น
แต่ในขณะที่ภาพลักษณ์ของกรีซบนเวทีโลกส่องประกายงดงามเหมือนดั่งสวรรค์ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ความจริงอีกด้านหนึ่งกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อเสียงสะท้อนจากประชาชนกรีกจำนวนมากกลับบอกว่า พวกเขาเองไม่สามารถใช้ชีวิตพักผ่อนในบ้านเกิดของตนได้อีกต่อไป
เสียงเรียกนี้นำไปสู่คำเปรียบเทียบอันเจ็บปวดว่า “กรีซคือประเทศไทยแห่งยุโรป” หมายถึง ประเทศที่คนท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว แต่กลับไม่สามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง
ชาวกรีกถูกผลักออกจากวันหยุด : ชายหาดว่างเปล่า – ยอดขายตั๋วลดลง 50%
ภาพที่หลายคนคาดหวังคือ ชาวกรีกเองควรได้ดื่มด่ำกับท้องฟ้าสีครามและทะเลใสเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ตัวเลขจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศสะท้อนวิกฤตชัดเจน
พนักงานขายตั๋วเรือเฟอร์รีที่ท่าเรือพิริอัส (Piraeus) ซึ่งเป็นประตูสู่หมู่เกาะ เผยว่ายอดขายตั๋วลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากคนท้องถิ่นเลือกที่จะไม่เดินทางไปเที่ยว
ผู้ประกอบการกีฬาทางน้ำบนเกาะเอจีนา (Aegina) กล่าวด้วยความเศร้าว่า “ปีนี้เก้าอี้ชายหาดว่างเปล่า” สะท้อนว่าคนกรีกจำนวนมากตัดใจจากการพักผ่อน
เสียงจากคนรุ่นใหม่ยิ่งตอกย้ำความจริงอันขมขื่น หญิงสาววัย 28 ปีที่ทำงานบริษัทเอกชน มีรายได้เพียง 850 ยูโรต่อเดือน (ประมาณ 31,000 บาท) เล่าว่า เธอไม่สามารถจ่ายค่าที่พักซึ่งพุ่งสูงถึง 200 ยูโรต่อคืน (ประมาณ 7,400 บาท) ได้อีกต่อไป ทั้งที่ครั้งหนึ่งการไปเที่ยวเกาะในบ้านเกิดเคยเป็นเรื่องปกติ
สถิติชี้ชัด : ครึ่งประเทศไม่ได้พักร้อน
ข้อมูลจาก สหภาพผู้บริโภควัยทำงานกรีซ (EEKE) และ สำนักงานสถิติแห่งยุโรป (Eurostat) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า
ชาวกรีก 1 ใน 2 คน ไม่ได้ไปเที่ยวพักร้อนในปีนี้
กว่า 46% ไม่สามารถจ่ายค่าที่พักสำหรับวันหยุดยาวหนึ่งสัปดาห์ได้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปที่อยู่ที่เพียง 19% เท่านั้น
นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือภาพสะท้อนความจริงว่าครึ่งหนึ่งของประเทศถูกตัดออกจากประเพณีที่เคยหยั่งรากลึกในสังคมกรีก — การใช้เวลาพักร้อนกับครอบครัวริมทะเล
ต้นเหตุของปัญหา : ค่าครองชีพพุ่ง – ค่าจ้างหยุดนิ่ง
สาเหตุหลักที่ผลักคนกรีกออกจากวันหยุดคือ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นสวนทางกับค่าจ้างที่แทบไม่ขยับ
ค่าโดยสารเรือเฟอร์รีสำหรับครอบครัว 4 คนพร้อมรถยนต์ อาจสูงถึง 450 ยูโร (ประมาณ 16,700 บาท) ต่อการเดินทางหนึ่งครั้ง
ขณะที่เงินเดือนเฉลี่ยของชาวกรีกอยู่ที่เพียง 1,342 ยูโรต่อเดือน (ประมาณ 49,900 บาท) เท่านั้น
ภาวะเช่นนี้ทำให้แม้แต่ชนชั้นกลางก็รู้สึกว่า “การไปเที่ยวพักผ่อนในประเทศตัวเอง” กลายเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเกินไป
ความย้อนแย้งของเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
ภาคการท่องเที่ยวของกรีซสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ขณะเดียวกันกลับก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่น่ากังวล
ราคาที่พักและค่าอาหารสูงขึ้น เนื่องจากเจ้าของกิจการปรับราคาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้คนท้องถิ่นไม่สามารถแข่งขันกับราคาได้
ธุรกิจมุ่งเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติ มากกว่าคนในประเทศ ส่งผลให้โครงสร้างราคาถูกขับเคลื่อนด้วย “กำลังซื้อจากภายนอก”
ช่องว่างทางเศรษฐกิจ ระหว่างรายได้และค่าครองชีพกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน วิเคราะห์ว่า “ชาวกรีกกำลังถูกผลักออกจากความสุขในสิ่งที่เคยเป็นประเพณีของพวกเขา เนื่องจากสู้ราคาไม่ไหว”
รัฐบาลกรีซกับความพยายามแก้ปัญหา
รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรีคีรีอากอส มิตโซตากิส (Kyriakos Mitsotakis) พยายามออกมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยสัญญาว่าจะ
ลดภาษีเพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน
ปรับเพิ่มค่าจ้างเฉลี่ยให้ถึง 1,500 ยูโรต่อเดือน ภายในปี 2570
แต่สำหรับประชาชนจำนวนมาก มาตรการเหล่านี้ยังคงดูเลือนรางและไกลเกินเอื้อม เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
เสียงจากคนท้องถิ่น : ความสุขที่หายไป
อาริส อาพิเคียน พนักงานร้านขายพรมในกรุงเอเธนส์ กล่าวอย่างเจ็บปวดว่า
“ในขณะที่ชาวต่างชาติใช้ชีวิตในฝันของพวกเขาที่กรีซ เรากลับต้องเผชิญกับด้านที่เลวร้ายของทุกสิ่ง ผมคิดว่าตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า ในเมื่อเราไม่สามารถลาพักร้อนได้แม้แต่สัปดาห์เดียว คนที่แพ้จริง ๆ ก็คือพวกเราชาวกรีกนี่เอง”
คำพูดนี้กลายเป็นเครื่องสะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน — กรีซอาจเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่กลับเป็น “แดนที่ไม่เอื้อต่อคนท้องถิ่น”
บทสรุป : บทเรียนจาก “ประเทศไทยแห่งยุโรป”
กรณีของกรีซเป็นเครื่องเตือนใจสำคัญว่าความสำเร็จของการท่องเที่ยว หากขาดการจัดการอย่างสมดุล อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนทำร้ายประชาชนในประเทศเอง
คำว่า “ประเทศไทยแห่งยุโรป” ไม่ได้ถูกใช้เพียงเพื่อประชด แต่เป็นการสะท้อนความจริงที่ว่า คนในประเทศกลายเป็น “ผู้ให้บริการ” แก่ชาวต่างชาติ ขณะที่ตัวเองกลับถูกตัดสิทธิ์จากสิ่งที่ควรจะเป็นของพวกเขา
ในอนาคต หากรัฐบาลกรีซไม่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ ปัญหานี้อาจลุกลามจนกลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม และทำให้คำว่า “สวรรค์แห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน” เป็นเพียงภาพฝันที่มีไว้สำหรับคนนอกเท่านั้น








