ทำไมนักวิทยาศาสตร์จึงคาดการณ์ว่า "มนุษย์อาจสูญหายไปในปี ค.ศ. 2779?"
การคาดการณ์เกี่ยวกับวันสิ้นโลก การสูญพันธุ์ หรือ อนาคตที่มืดมนของอารยธรรม ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยนิยมมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม คำทำนายดังกล่าวตั้งอยู่บนความหวาดกลัว โดยนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามใช้เครื่องมือเชิงวิชาการที่เข้มงวด เพื่อทำนายชะตากรรมของมนุษยชาติมาโดยตลอด ซึ่งหนึ่งในทฤษฎีที่สร้างความฮือฮาและถกเถียงมากที่สุด คือ การทำนายว่า "มนุษย์อาจสูญหายไปในปี ค.ศ. 2779" โดยอ้างอิงจากหลักการทางคณิตศาสตร์ ที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างยิ่ง คือ หลักการ "โคเปอร์นิคัส"
หลักการ "โคเปอร์นิคัส" มักถูกเรียกว่า "หลักการสามัญ" หลักการดังกล่าวเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ที่ตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ "นิโคลัส โคเปอร์นิคัส" โดยแก่นสำคัญของแนวคิดนี้ คือ "มนุษย์และโลก มิได้อยู่ในตำแหน่งพิเศษ หรือ ศูนย์กลางของเอกภพ แต่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ต้องดำเนินไปตามกฎสากล ของธรรมชาติในเอกภพ"
นอกจากจะพลิกมุมมองทางดาราศาสตร์แล้ว หลักการนี้ยังกลายเป็นเข็มทิศของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ใช้เพื่อสร้างการคาดการณ์ ในสถานการณ์ที่ข้อมูลยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดของการประยุกต์หลักการนี้ คือ "กฎของกอทท์" ซึ่งถูกเสนอโดยนักฟิสิกส์ชื่อดัง "ริชาร์ด กอทท์" จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน โดยกฎนี้ระบุว่า "อายุของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักจะอยู่ราวๆ กลางวงจรชีวิตของมัน ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1969 เมื่อกำแพงเบอร์ลินมีอายุ 8 ปี "ริชาร์ด กอทท์" ก็ได้ทำนายโดยใช้หลักการนี้ว่า "มันจะอยู่ต่อได้อีกประมาณ 24 ปี" และ ผลลัพธ์ก็น่าทึ่ง เพราะกำแพงได้พังทลายลงจริงๆ หลังจากนั้น 28 ปี..." ซึ่งจากความสำเร็จนี้ "ริชาร์ด กอทท์" จึงขยายทฤษฎีไปถึงการทำนายอายุของอารยธรรมมนุษย์ โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานสำคัญ 2 ข้อ โดย 1 ข้อในนั้น คือ "อารยธรรมของมนุษย์มีอายุขัยจำกัด"
ถึงแม้การประยุกต์ทฤษฎีนี้จะมีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถใช้ทำนายอายุของดวงอาทิตย์ (เพราะโลกอยู่ในตำแหน่ง ที่ไม่ใช่แบบสุ่ม) หรือ ชะตาสุดท้ายของจักรวาล (เนื่องจากเป็นคำถามเชิงปรัชญา ที่ไม่จำกัดเวลา)
อารยธรรมมนุษย์จะสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2779?
เมื่อใช้หลักการโคเปอร์นิคัส และ กฎของกอทท์กับประวัติศาสตร์มนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างสูตรคำนวณอายุอารยธรรม โดยสมมติว่า "ปีเกิดของแต่ละคนเป็นจุดสุ่มในห้วงเวลาทั้งหมดของมนุษยชาติ ผลการคำนวณหนึ่งในปี ค.ศ. 1947 ได้ทำนายว่าอารยธรรมมนุษย์ จะมีอายุเฉลี่ยราว 4,932 ปี และ คาดว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงใหญ่จะเกิดขึ้นราว 2,985 ปีให้หลัง"
เพื่อเพิ่มความแม่นยำ นักวิจัยได้พัฒนาแบบจำลองการแจกแจงความน่าจะเป็น ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ชวนตกตะลึงว่า "มีโอกาส 50% ที่อารยธรรมมนุษย์จะสิ้นสุด ในปี ค.ศ. 2779" โดย 95% ภายในปี ค.ศ. 9120 และ 99.9% ภายในปี ค.ศ. 12,000"
แต่คำว่า "สิ้นสุด หรือ สูญหาย" ในที่นี้หมายถึงอะไร? นี่คือประเด็นสำคัญของการถกเถียง ซึ่ง "ริชาร์ด กอทท์" เสนอแนวคิดที่เรียกว่า "การเปลี่ยนแปลงเชิงภววิสัย" ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ อาจไม่สูญพันธุ์แบบสิ้นเชิง หากแต่ก้าวข้ามไปสู่การวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี เช่น การอัปโหลดจิตสำนึก หรือ การดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งจะทำให้มนุษย์ ในความหมายดั้งเดิมไม่เหลืออยู่ แต่แทนที่ด้วยรูปแบบใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า!!" ดังนั้น ทฤษฎีนี้ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นการชี้ให้เห็นเส้นทางของความก้าวหน้า...
ยังคงมีข้อถกเถียง: การทำนายนี้เชื่อถือได้จริงหรือไม่?
ถึงแม้จะดูสมเหตุสมผล แต่แบบจำลองนี้ก็ถูกวิจารณ์ไม่น้อย เช่น...
- การเลือกช่วงเวลาที่ผู้สังเกตมีชีวิตอยู่ อาจส่งผลต่อความแม่นยำของการทำนาย
- ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจทำลายข้อจำกัดทางชีววิทยาเดิม
- คำจำกัดความของ "การสูญพันธุ์ของมนุษย์" ก็ยังคงไม่ชัดเจน...
การทำนายของ "ริชาร์ด กอทท์" จึงเป็นตัวอย่างของความซับซ้อน และ ความขัดแย้งในศาสตร์การคาดการณ์อนาคต ซึ่งความน่าเชื่อถือของการทำนายระยะยาวเช่นนี้ ขึ้นอยู่กับสมมติฐานพื้นฐาน และ ความเข้มงวดของเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
ถึงแม้เราอาจไม่มีวันรู้คำตอบที่แน่ชัด แต่ทฤษฎีเหล่านี้ได้เปิดพื้นที่การสนทนา ระหว่างสาขาวิชาต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี จริยธรรมและสังคม ซึ่งคำถามที่ว่า "มนุษย์ยังคงอยู่หรือไม่ในปี ค.ศ. 2779?" จึงยังคงเป็นปริศนาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยอย่างต่อเนื่องต่อไป...





















