สหรัฐฯ เอาจริง! คว่ำบาตรศูนย์หลอกลวงออนไลน์ เขมร-พม่า สั่นสะเทือน
มาตรการคว่ำบาตรสหรัฐฯ สะเทือนศูนย์หลอกลวงออนไลน์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปิดช่องทางโกงมูลค่าหมื่นล้านดอลลาร์
วันที่ 8 กันยายน 2568 สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย (U.S. Embassy Bangkok) ได้เผยแพร่แถลงการณ์สำคัญจาก มาร์โค รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ (online scams) โดยเฉพาะการหลอกลงทุนคริปโตและแพลตฟอร์มการเงินปลอม ได้กลายเป็นปัญหาระดับโลก โดยมีศูนย์กลางสำคัญอยู่ในพม่า กัมพูชา ลาว และบางพื้นที่ในไทย ซึ่งเกี่ยวพันกับขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และมักใช้แรงงานบังคับหรือแรงงานต่างด้าวที่ถูกหลอกมาทำงาน
ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าเพียงปี 2567 (2024) เพียงปีเดียว ชาวอเมริกันสูญเสียเงิน ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 360,000 ล้านบาท ให้กับเครือข่ายการหลอกลวงออนไลน์ที่มีฐานปฏิบัติการในภูมิภาคนี้
ที่มาของปัญหา: ศูนย์กลางการโกงไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลายปีที่ผ่านมา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็น “แหล่งรวม” ของเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและเมืองเศรษฐกิจพิเศษที่อำนาจรัฐอ่อนแอ เช่น
เมือง Shwe Kokko (ชเวก๊กโกะ) ในพม่า : พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษที่ถูกควบคุมโดยกลุ่ม กองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Army - KNA) ซึ่งมีประวัติพัวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติหลายด้าน ทั้งค้ามนุษย์ ยาเสพติด และล่าสุดคือการสร้าง “ศูนย์หลอกลวงออนไลน์” ที่ใช้แรงงานบังคับจำนวนมาก
กัมพูชา : มีการเปิดค่ายแรงงานผิดกฎหมายที่บังคับแรงงานชาวต่างชาติให้ทำงานเป็น “...หลอกลวง” หลายพันคน เหยื่อแรงงานเหล่านี้มักถูกหลอกมาจากประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงไทย ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และแม้แต่จากแอฟริกา ก่อนจะถูกยึดพาสปอร์ต กักขัง และบังคับให้ทำงานหลอกลวงเหยื่อในต่างประเทศ
ไทยและลาว : ถูกใช้เป็นฐานส่งต่อเงินและเครือข่ายสนับสนุน แม้ไม่ใช่ศูนย์กลางใหญ่ แต่ก็มีเครือข่ายย่อยที่เกี่ยวพัน
การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
เพื่อสกัดกั้นปัญหานี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดย สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ ครอบคลุมทั้งบุคคล องค์กร และกลุ่มอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง
เป้าหมายหลัก
1. บุคคล 9 ราย ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ใน Shwe Kokko พม่า
2. กลุ่มกองกำลัง KNA ที่ถูกจัดให้เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และถูกคว่ำบาตรก่อนหน้านี้แล้ว
3. บุคคล 4 ราย และองค์กร 6 แห่งในกัมพูชา ที่มีบทบาทในการดำเนินค่ายแรงงานบังคับ ซึ่งแรงงานเหล่านี้ถูกบังคับให้ทำงานเป็นมิจฉาชีพไซเบอร์
มาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการอายัดทรัพย์สิน การห้ามทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบของสหรัฐฯ และการปิดกั้นการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจระหว่างประเทศ
ผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตร
มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ลดศักยภาพของเครือข่ายอาชญากรรม ในการดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยเฉพาะ:
ขัดขวางการฟอกเงินและการเคลื่อนย้ายเงินข้ามประเทศ
ปิดช่องทางการเข้าถึงเทคโนโลยีและบริการทางการเงินสากล
ลดกำลังในการขยายกิจการหลอกลวงที่มักเติบโตแบบ “โรงงานโกงไซเบอร์” (scam factories)
ส่งสัญญาณทางการทูตว่า สหรัฐฯ เอาจริงกับการจัดการปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อพลเมือง
ภัยร้ายจาก “เหยื่อซ้อนเหยื่อ”
สิ่งที่น่ากังวลคือ ปฏิบัติการเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายให้เหยื่อผู้ถูกหลอก แต่ยังมีอีกชั้นหนึ่งคือ “แรงงานที่ถูกบังคับให้โกง”
มีรายงานมากมายว่ามีชาวต่างชาติถูกหลอกไปทำงาน โดยถูกสัญญาว่าจะได้ทำงานด้านไอทีหรือคอลเซ็นเตอร์ แต่เมื่อเดินทางไปถึงกลับถูกกักขัง ทุบตี และถูกบังคับให้ทำงานหลอกลวงผ่านแชตหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ หากไม่ทำตามก็จะถูกทำร้ายร่างกายหรือขายต่อให้ค่ายอื่น ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง
กฎหมายและคำสั่งฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้อง
การคว่ำบาตรครั้งนี้อ้างอิงตาม Executive Orders (E.O.) หลายฉบับ ได้แก่
E.O. 13581 (ว่าด้วยการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ)
E.O. 13863 (ขยายมาตรการควบคุมอาชญากรรมไซเบอร์)
E.O. 14014 (เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในพม่า)
E.O. 13818 (ว่าด้วยการปกป้องสิทธิมนุษยชน ตามกฎหมาย Global Magnitsky Act)
E.O. 13694 (เกี่ยวข้องกับการโจมตีไซเบอร์และอาชญากรรมดิจิทัล)
การอ้างอิงกฎหมายหลายฉบับสะท้อนว่า สหรัฐฯ ต้องการใช้กลไกทางกฎหมายเต็มรูปแบบในการจัดการกับเครือข่ายเหล่านี้
ผลสะเทือนต่อไทยและภูมิภาค
แม้ไทยจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของการคว่ำบาตรครั้งนี้ แต่ในทางปฏิบัติ ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบ เพราะ:
1. มีแรงงานไทยจำนวนหนึ่งที่ถูกหลอกไปทำงานในค่ายโกงไซเบอร์
2. มีการใช้ประเทศไทยเป็นช่องทางโอนเงิน ฟอกเงิน หรือเป็น “สถานที่พักเหยื่อ”
3. ภาคธุรกิจไทยบางส่วนอาจเผลอไปเกี่ยวพันกับเครือข่ายเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว เช่น การให้เช่าพื้นที่ เซิร์ฟเวอร์ หรือบริการทางการเงิน
ดังนั้น มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ จะกดดันให้ไทยและประเทศในภูมิภาคต้องเร่งความร่วมมือกับนานาชาติในการปราบปราม
ข้อสรุป
การที่สหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการปกป้องพลเมืองอเมริกันจากการหลอกลวงออนไลน์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหา อาชญากรรมข้ามชาติ + การละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่รุนแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เครือข่ายโกงไซเบอร์สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล
เหยื่อแรงงานที่ถูกบังคับทำงานคือโศกนาฏกรรมมนุษยธรรมที่ไม่ควรถูกมองข้าม
ประเทศในภูมิภาค รวมถึงไทย จำเป็นต้องเข้มงวดมากขึ้นในการสกัดกั้น
มาตรการคว่ำบาตรนี้จึงเป็นเหมือน “สัญญาณเตือน” ให้ทั่วโลกตระหนักว่า การหลอกลวงออนไลน์ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นภัยระดับโลกที่ต้องร่วมกันแก้ไข
















