คดีใหญ่ปิดฉาก! ศาลตัดสินจำคุก เจ้าของอู่-โชเฟอร์ ไฟคลอกบัสดับ 23 ราย
ศาลธัญบุรีพิพากษาคดี “รถบัสมรณะ” คร่าชีวิตครู-นักเรียน 23 ศพ จำคุกเจ้าของอู่-คนขับสูงสุด 8 ปี แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี
วันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลจังหวัดธัญบุรีได้มีคำพิพากษาในคดีที่สร้างความสะเทือนใจให้กับสังคมไทยทั้งประเทศ นั่นคือโศกนาฏกรรม “รถบัสมรณะ” เหตุเพลิงไหม้รถบัสที่คร่าชีวิตครูและนักเรียนจากจังหวัดอุทัยธานีรวมถึง 23 ศพ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 บนถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า ใกล้อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
แม้เหตุการณ์จะผ่านไปเกือบหนึ่งปีเต็ม แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นยังคงเป็นบาดแผลลึกในใจของครอบครัวผู้เสียชีวิต และเป็นอุทาหรณ์ครั้งสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะที่ใช้ขนส่งนักเรียนและประชาชน
เหตุการณ์สลด 1 ตุลาคม 2567
คืนวันที่ 1 ตุลาคม 2567 รถบัสนำคณะครูและนักเรียนจากจังหวัดอุทัยธานีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทัศนศึกษา ขณะรถวิ่งบนถนนวิภาวดีรังสิต ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรงจากด้านท้ายรถ ไฟลุกลามรวดเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่
แม้ผู้โดยสารบางส่วนสามารถหนีออกมาได้ แต่ด้วยจำนวนคนที่นั่งเต็มคันรถ และความรวดเร็วของเปลวไฟ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 23 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนวัยกำลังศึกษาเล่าเรียน และครูผู้คอยดูแล
เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกภาพโดยผู้พบเห็นและเผยแพร่ไปทั่วประเทศภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำให้เกิดกระแสสะเทือนใจในสังคมไทยอย่างรุนแรง มีการตั้งคำถามต่อมาตรฐานการดูแลบำรุงรักษารถโดยสาร และการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การดำเนินคดีและผู้ต้องหาทั้ง 3 คน
หลังการสอบสวน พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนและส่งฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน ประกอบด้วย
1. เจ้าของอู่รถบัส จำนวน 2 คน (เป็นพ่อและลูกสาว)
2. คนขับรถบัส ที่ขับในวันเกิดเหตุ
ข้อกล่าวหาหลักคือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รวมถึงความบกพร่องในการดูแลบำรุงรักษารถให้มีความปลอดภัยเพียงพอต่อการใช้งาน
คำพิพากษาของศาลจังหวัดธัญบุรี
ศาลชั้นต้นได้พิจารณาคดีและมีคำพิพากษาดังนี้
เจ้าของอู่รถ (จำเลยที่ 1 และ 2)
จำคุกคนละ 8 ปี
ปรับ 200,000 บาท
เนื่องจากทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลพิจารณาลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 4 ปี และปรับคนละ 100,000 บาท
แต่โทษจำคุกให้ รอลงอาญา 2 ปี พร้อมกำหนดให้เข้ารับการคุมประพฤติ
คนขับรถบัส (จำเลยที่ 3)
จำคุก 8 ปี 2 เดือน
ปรับ 205,000 บาท
เมื่อให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 4 ปี 1 เดือน และปรับ 102,500 บาท
เช่นเดียวกัน ศาลให้ รอลงอาญา 2 ปี
เสียงสะท้อนจากสังคม
คำพิพากษาดังกล่าวสร้างทั้งเสียงเห็นด้วยและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม
ฝ่ายหนึ่งมองว่า ศาลเมตตาเกินไป เนื่องจากความผิดนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 23 ราย การรอการลงโทษอาจไม่สะท้อนถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ และอาจไม่เป็นอุทาหรณ์ที่เพียงพอต่อผู้ประกอบการขนส่ง
ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่า การให้รอลงอาญาเป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยปรับปรุงแก้ไข และยังต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งในทางกฎหมายถือเป็นการเยียวยาที่ควบคู่กันไป
บทเรียนสำคัญเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย
เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการ ตรวจสอบสภาพรถบัสอย่างเคร่งครัด ก่อนนำมาใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเป็นการขนส่งนักเรียนหรือประชาชนจำนวนมาก เพราะความบกพร่องเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมใหญ่ได้
นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบของเจ้าของอู่และผู้ประกอบการ ที่ต้องมั่นใจว่ารถอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และการตรวจสอบระบบไฟฟ้า ระบบเชื้อเพลิง และอุปกรณ์ความปลอดภัยต้องได้มาตรฐานสากล
ความรู้สึกของครอบครัวผู้เสียชีวิต
สำหรับครอบครัวของผู้สูญเสีย 23 ชีวิต ไม่มีคำตัดสินใดจะสามารถชดเชยความเจ็บปวดได้ หลายครอบครัวยังคงจดจำบรรยากาศวันที่ต้องรับศพบุตรหลานกลับบ้าน ภาพบรรยากาศงานศพที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความเศร้าโศกยังคงติดตรึงในใจ
บางครอบครัวออกมาแสดงความคิดเห็นว่า แม้ศาลจะมีคำพิพากษาเช่นไร ความจริงคือพวกเขาได้สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไปแล้ว และไม่มีสิ่งใดจะทดแทนได้
ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
หลังเกิดเหตุการณ์ มีการเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาตรวจสอบมาตรการความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะและรถรับ-ส่งนักเรียนอย่างเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้ประกอบการที่ละเลยการบำรุงรักษารถ
หลายโรงเรียนและหน่วยงานได้ออกมาตรการเข้ม เช่น ตรวจสอบประวัติคนขับรถก่อนจ้างงาน และกำหนดให้ตรวจสภาพรถอย่างละเอียดก่อนออกเดินทางทุกครั้ง
สรุป
โศกนาฏกรรม “รถบัสมรณะ” ที่คร่าชีวิตครูและนักเรียนถึง 23 ราย ไม่เพียงเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง แต่ยังเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยของยานพาหนะสาธารณะในประเทศไทย
คำพิพากษาของศาลจังหวัดธัญบุรีที่ออกมา แม้จะมีทั้งเสียงเห็นด้วยและเสียงคัดค้าน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำบทเรียนครั้งนี้ไปปรับปรุงและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต



















