เปิดฉากวันแรก “ทักษิณ” เดินทางถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังศาลพิพากษาจำคุก
ทักษิณ ชินวัตร ถอดสูทขึ้นรถราชทัณฑ์ เดินทางถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังศาลสั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปี คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
วันที่ 9 กันยายน 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 1 ปีเต็ม ในคดีที่สังคมเรียกขานกันว่า “คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ” หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายทักษิณเข้าพักรักษาตัวบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลายาวนานเกือบ 6 เดือน จนเกิดข้อกังขาและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าการบังคับโทษเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ
ศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า การบังคับโทษที่ผ่านมาไม่เป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมายที่ถูกต้อง เนื่องจากจำเลยแม้จะมีโรคประจำตัวเรื้อรัง แต่ไม่ได้อยู่ในภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติที่ไม่สามารถรักษาได้ จึงไม่เข้าข่ายที่จะได้รับสิทธิพักการลงโทษเป็นเวลานานเช่นนั้น ส่งผลให้ระยะเวลาที่ใช้พักรักษาตัวไม่สามารถนำมาหักลบโทษจำคุกได้
ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงมีคำสั่งให้ นายทักษิณต้องกลับเข้าเรือนจำ เพื่อรับโทษจำคุกตามพระบรมราชโองการลดโทษที่เหลืออยู่ 1 ปีทันที โดยให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
เหตุการณ์หลังคำพิพากษา
บรรยากาศที่ศาลฎีกาในช่วงสายเต็มไปด้วยสื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมากที่มาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ดำเนินการนำตัวนายทักษิณขึ้นรถตู้คุมขัง โดยมีรถตู้จากกรมราชทัณฑ์รวมทั้งหมด 3 คัน เดินทางเป็นขบวนออกจากศาลฎีกา มุ่งหน้าไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
สิ่งที่สะดุดตาและกลายเป็นภาพที่สื่อเผยแพร่ไปทั่ว คือ ขณะที่นายทักษิณถูกนำตัวออกจากศาลนั้น เขาได้ถอดเสื้อนอกสูทออก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา จับคู่กับกางเกงขายาวสีเข้ม และยังคงปรากฏสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะกำลังเข้าสู่เส้นทางใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตภายในเรือนจำ
เมื่อเวลา 11.50 น. ขบวนรถราชทัณฑ์ที่มีนายทักษิณนั่งอยู่ในรถคันหน้าสุด ได้เคลื่อนตัวถึงประตูเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และการจับตามองจากสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บทบาทของทักษิณในประวัติศาสตร์การเมือง
การที่อดีตนายกรัฐมนตรีต้องกลับเข้าสู่เรือนจำในครั้งนี้ นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย ถือเป็นครั้งแรกที่อดีตผู้นำประเทศระดับสูงถูกบังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ อย่างเป็นทางการ
นายทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2544 – 2549 เป็นบุคคลที่มีบทบาทโดดเด่นและสร้างการเปลี่ยนแปลงหลายด้านต่อสังคมไทย โดยเฉพาะนโยบายเชิงเศรษฐกิจและสังคม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน, และนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาได้รับทั้งเสียงชื่นชมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ควบคู่กันมาโดยตลอด
ปฏิกิริยาของครอบครัว
ทันทีที่ศาลมีคำสั่งบังคับโทษ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ้งอิ้ง” บุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เผยความรู้สึกทั้งห่วงใยและภูมิใจในตัวบิดา เธอกล่าวว่าคุณพ่อยังคงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในทางการเมือง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ
เธอยังย้ำด้วยว่า แม้สถานการณ์จะหนักหน่วง แต่กำลังใจของครอบครัวยังดี และขอบคุณประชาชนทุกคนที่ส่งกำลังใจมาให้ตลอด พร้อมยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลต่อไป
แถลงการณ์จากทีมงานทักษิณ
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ทีมงานของนายทักษิณได้เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยนายทักษิณแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยโทษลดโทษจำคุกเหลือเพียง 1 ปี และน้อมรับคำพิพากษา พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เขายังทิ้งข้อความที่สะท้อนถึงความตั้งใจทางการเมืองในอดีต ว่าแม้จะไร้อิสรภาพทางร่างกาย แต่เขายังมีเสรีภาพทางความคิด และความหวังที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาไปข้างหน้า
มุมมองจากสังคม
การบังคับโทษครั้งนี้ทำให้สังคมไทยเกิดกระแสการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ฝ่ายหนึ่งมองว่านี่คือหลักชัยสำคัญของระบบกฎหมายไทย ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าผู้ใดจะอยู่ในตำแหน่งสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ อีกฝ่ายหนึ่งกลับมองว่านี่เป็นการเมืองเชิงสัญลักษณ์ที่ยังไม่ตอบคำถามต่อข้อกังขาหลายประการ
ไม่ว่ามุมมองใดจะถูกต้องหรือเป็นที่ยอมรับเพียงใด เหตุการณ์นี้ได้ถูกบันทึกไว้แล้วว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการเมืองไทย
สรุป
การเดินทางของนายทักษิณ ชินวัตร จากห้องพักฟื้นชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ มาสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางกฎหมาย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเมืองไทยที่เต็มไปด้วยพลวัตและความขัดแย้ง
ในสายตาของผู้สนับสนุน นายทักษิณยังคงเป็นผู้นำที่มุ่งมั่นเพื่อประชาชน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมองว่านี่คือบทเรียนของนักการเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เหตุการณ์ครั้งนี้ย่อมถูกจารึกเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของประเทศ






















