ด่วน!เปิดคำสั่งศาลฎีกาฯ บังคับโทษจำคุก “ทักษิณ” 1 ปี คดีชั้น 14
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ชี้ชัดการบังคับโทษทักษิณ ชินวัตร
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2560 เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำสั่งในคดีหมายเลขดำ มค 1/2560 โดยคดีนี้เกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกของ พ.ต.ท. หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจำเลยต้องรับโทษตามหมายจำคุกที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดในคดีหมายเลข อม 4/2551, อม 5/2551 และ กม 10/2552
คำสั่งดังกล่าวเป็นการไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่า การบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลหรือไม่ และว่าการส่งตัวจำเลยไปรักษาพยาบาลนอกเรือนจำเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
กระบวนการไต่สวนและคำสั่งของศาล
ในการไต่สวนครั้งนี้ ศาลได้พิจารณาเอกสารและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง เจ้าหน้าที่เรือนจำ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่าการบังคับโทษเป็นไปตาม หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด
ศาลระบุว่าการไต่สวนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้แน่ใจว่า การส่งตัวจำเลยไปรักษาพยาบาลนอกเรือนจำหรือการจัดสรรการคุมขังในเรือนจำ เป็นไป ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
ศาลยังเน้นย้ำว่า แม้เรือนจำหรือกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตามกฎหมายในการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาพยาบาลภายนอก แต่ ศาลยังมีอำนาจตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามคำพิพากษาอย่างเคร่งครัด
ปัญหาที่ศาลต้องวินิจฉัย
ศาลได้กำหนดประเด็นสำคัญที่ต้องวินิจฉัยไว้ 3 ประการ ได้แก่
1. ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษจำเลยหรือไม่
ศาลเห็นว่าการไต่สวนเป็นการตรวจสอบว่าการบังคับโทษเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายและเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสิทธิและกระบวนการยุติธรรม
2. การดำเนินการของเรือนจำและกรมราชทัณฑ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลได้พิจารณาว่า การส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลภายนอกต้องอยู่บนพื้นฐานของ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมาย และไม่ใช่การใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบธรรม ซึ่งรวมถึงการจัดสรรการคุมขังภายในเรือนจำและการประสานงานกับโรงพยาบาล
3. การบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลหรือไม่
หลังการไต่สวน ศาลพิจารณาว่า การส่งตัวจำเลยไปยังห้องทุกโรค (แดน 7) ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และการตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางกฎหมายและ ไม่ขัดต่อคำพิพากษาของศาลฎีกา
การดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาล
จากข้อมูลการไต่สวน พบว่า จำเลยมีอาการป่วยหลายโรค โดยเฉพาะโรคที่ต้องติดตามต่อเนื่อง เช่น
โรคไขกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
โรคหัวใจ
โรคไวรัสตับอักเสบบี
เนื่องจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง ที่สามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน โรงพยาบาลราชทัณฑ์จึงเสนอให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำซึ่งมีศักยภาพในการรักษามากกว่า
อย่างไรก็ตาม การส่งตัวจำเลยไปรักษาเป็นไป ในกรณีที่ไม่ฉุกเฉิน และมีการประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์อย่างครบถ้วน สอดคล้องกับข้อแนะนำของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา
ศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปเพื่อ รักษาสุขภาพของจำเลยและปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการละเมิดคำพิพากษาหรือการบังคับโทษที่ไม่ถูกต้อง
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การไต่สวนครั้งนี้อ้างอิงตามหลักเกณฑ์ทางกฎหมายหลายมาตรา เช่น
1. พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 – เกี่ยวกับการส่งตัวผู้ต้องขังไปยังสถานพยาบาลภายนอกเรือนจำ
2. กฎกระทรวงเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาพยาบาล พ.ศ. 2563 – กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการส่งตัวผู้ต้องขังรักษา
3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 และมาตรา 246 – กำหนดขั้นตอนการบังคับโทษและการตรวจสอบการปฏิบัติตามคำพิพากษา
ศาลใช้ข้อกฎหมายเหล่านี้ในการตรวจสอบว่า การบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามคำพิพากษาและหลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือไม่
การตัดสินใจของศาล
หลังการไต่สวน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ข้อสรุปว่า
1. การส่งตัวจำเลยไปยังห้องทุกโรคของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก เป็น ไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทางกฎหมาย
2. การบังคับโทษจำเลยเป็นไปตาม หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด
3. การไต่สวนไม่ถือเป็นการพิจารณาซ้ำหรือขัดต่อคำสั่งศาลก่อนหน้า
คำสั่งนี้ถือเป็น การยืนยันความถูกต้องของกระบวนการบังคับโทษ และสร้างความมั่นใจว่า สิทธิของจำเลยได้รับการคุ้มครอง และการดำเนินการของเรือนจำและกรมราชทัณฑ์เป็นไปตามกฎหมาย
ความสำคัญของคำสั่งนี้ต่อกระบวนการยุติธรรม
คำสั่งของศาลครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้าง ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า
ศาลมีอำนาจตรวจสอบการปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างเคร่งครัด
การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาพยาบาลภายนอกเรือนจำต้องอยู่ภายใต้ หลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
สิทธิและความปลอดภัยของผู้ต้องขังได้รับการคุ้มครองอย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ ยังเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับ การบังคับโทษและการรักษาสุขภาพผู้ต้องขัง ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และช่วยให้กรมราชทัณฑ์และเรือนจำต่าง ๆ ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง
สรุป
เหตุการณ์การไต่สวนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการบังคับโทษจำเลย ไม่เพียงแต่ให้มั่นใจว่าการคุมขังเป็นไปตามคำพิพากษา แต่ยังคุ้มครองสิทธิและสุขภาพของผู้ต้องขังอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ การดำเนินการของเรือนจำและโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ในการส่งตัวจำเลยไปรักษาพยาบาลภายนอกเรือนจำ ถือเป็น การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และไม่ละเมิดคำพิพากษาของศาล
สำหรับประชาชนและผู้สนใจด้านกฎหมาย คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญของ การประสานงานระหว่างศาล เรือนจำ และหน่วยงานสาธารณสุข เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังอย่างเต็มที่






















