อ.เชียง เคลียร์ชัด! ปัดข่าวโยงผู้วิเศษคนที่ 3 ยันโปร่งใส เงินบริจาคเข้าสถานปฏิบัติธรรม
เปิดใจครั้งแรก! "อ.เชียง" ชี้แจงทุกข้อกล่าวหา หลังถูกโยงเป็น “ผู้วิเศษคนที่ 3” กลางกระแสดราม่าร้อน
ในช่วงเวลาที่สังคมไทยกำลังให้ความสนใจกับกรณี “ผู้วิเศษคนที่ 3” ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมไม่โปร่งใส ทั้งการเปิดรับบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัว การโอนเงินไม่ตรงยอดที่ประกาศ และการนำเงินบริจาคไปใช้สร้างสถานปฏิบัติธรรมที่กลับถูกมองว่าเป็นบ้านพักส่วนตัว จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น ล่าสุดหนึ่งในบุคคลที่ถูกสื่อและสังคมจับตาอย่างมากอย่าง “อ.เชียง” ได้ออกมาเปิดใจครั้งแรกผ่านรายการ “ข่าวมันส์เขี้ยว” ทางช่อง 8 เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดด้วยตนเอง
ประเด็นร้อน "ผู้วิเศษคนที่ 3" สังคมตั้งคำถามใหญ่
ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักได้เปิดโปงพฤติกรรมของบุคคลซึ่งถูกขนานนามว่า “ผู้วิเศษคนที่ 3” ว่ามีการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาไม่โปร่งใส เช่น
มีการเปิดรับบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัวแทนที่จะโอนตรงเข้าบัญชีวัด
ยอดเงินที่โอนไปวัดไม่ตรงกับยอดที่ประกาศรับบริจาค
ใช้เงินบริจาคไปสร้างสถานปฏิบัติธรรมในบ้านพักส่วนตัว ซึ่งทำให้เกิดความสงสัยในเจตนาที่แท้จริง
กรณีดังกล่าวยิ่งทวีความร้อนแรงเมื่อมีข่าวว่าบุคคลในวงการบันเทิงจำนวนมากเป็นลูกศิษย์ของ “ผู้วิเศษคนที่ 3” ยิ่งทำให้กระแสในโลกออนไลน์เต็มไปด้วยการตั้งข้อสงสัย ว่าบุคคลนี้คือใคร และเหตุใดจึงมีผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อและเข้ามามีส่วนร่วม
"อ.เชียง" เคลียร์ใจชัด ไม่หวั่นข่าวลือ – เพราะยึดมั่นในความดี
ในการเปิดใจผ่านรายการ “ข่าวมันส์เขี้ยว” อ.เชียง ยอมรับว่า ตนเองไม่รู้สึกตกใจกับข่าวที่ถูกโยงเข้ามา เพราะเชื่อมั่นว่าความจริงสามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกแปลกใจที่ถูกนำไปเกี่ยวข้องกับกระแสใหญ่เช่นนี้
อ.เชียงกล่าวว่า
“ผมยึดมั่นในการทำความดีมาโดยตลอด ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจอกับข่าวลักษณะนี้ แต่ในเมื่อถูกโยงเข้ามา ผมก็ยินดีที่จะชี้แจงทุกเรื่อง เพราะผมเชื่อว่าความจริงสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด”
ประเด็นเงินบริจาค – ยืนยันโอนเข้าวัดโดยตรง
หนึ่งในข้อกล่าวหาหนักที่สุดคือเรื่องการเงิน โดยเฉพาะการเปิดรับบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัว อ.เชียงได้อธิบายว่า การทำบุญสร้างวัด โบสถ์ หรือสถานปฏิบัติธรรม จะใช้บัญชีวัดเป็นหลักเสมอ ไม่เคยนำเงินเข้าบัญชีส่วนตัวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่ลูกศิษย์ต้องการร่วมทำบุญเฉพาะกิจ เช่น การจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์เพื่อแจกเป็นธรรมทาน ซึ่งในกรณีนี้อาจมีการใช้บัญชีส่วนตัวเพื่อความสะดวก แต่ทุกครั้งจะมีการเปิดเผยอย่างโปร่งใส และสามารถตรวจสอบหลักฐานได้
“ผมยืนยันได้ว่าเงินทุกบาทที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัดหรือกิจกรรมหลักทางศาสนา จะโอนตรงเข้าบัญชีวัดทั้งหมด ไม่เคยผ่านบัญชีส่วนตัวของผมเลย และทุกยอดสามารถตรวจสอบได้”
กรณีสถานปฏิบัติธรรมในบ้านพัก – มองคนละมุม
อีกหนึ่งข้อครหาที่สังคมตั้งคำถามคือ การนำเงินบริจาคไปสร้างสถานปฏิบัติธรรมที่แท้จริงแล้วถูกใช้เป็นบ้านพักส่วนตัว อ.เชียงได้ชี้แจงว่า แท้จริงแล้วสถานปฏิบัติธรรมดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมทางศาสนา โดยมีพื้นที่บางส่วนที่ตนเองพักอาศัยจริง แต่ไม่ใช่การนำเงินบริจาคมาใช้ผิดวัตถุประสงค์
“บ้านพักของผมถูกปรับให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมเล็กๆ ให้ลูกศิษย์ได้เข้ามานั่งสมาธิ ฟังธรรม ไม่ใช่การสร้างบ้านด้วยเงินบริจาคเพื่อใช้ส่วนตัว ทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการใช้จ่ายไปในเรื่องใด”
การถูกสื่อโยง – ทำให้ครอบครัวและศิษย์ได้รับผลกระทบ
อ.เชียงกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ตนเองรู้สึกหนักใจไม่ใช่เรื่องตัวเอง แต่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับครอบครัวและลูกศิษย์ เพราะข่าวลือและการถูกพาดพิงทำให้หลายคนเข้าใจผิด
“สิ่งที่ผมห่วงคือคนรอบตัว โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่อาจจะรู้สึกไม่สบายใจกับข่าวลือ แต่ผมอยากบอกทุกคนว่า ความจริงก็คือความจริง ทุกสิ่งที่ผมทำสามารถตรวจสอบได้”
มุมมองต่อ “ศาสนา” และ “ศรัทธา”
แม้จะถูกโจมตีอย่างหนัก แต่อ.เชียงยังยืนยันว่า ตนเองยังคงเคารพและยึดมั่นในหลักศาสนาเสมอ และไม่อยากให้สังคมเหมารวมว่าพฤติกรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะทำให้ศาสนาเสื่อม
“ศาสนาไม่ได้ทำให้ใครเสื่อม แต่เป็นพฤติกรรมของบุคคลต่างหากที่ทำให้คนมองศาสนาไม่ดี เราควรยึดคำสอนเป็นหลัก อย่าไปยึดติดกับบุคคลจนเกินไป”
กระแสโซเชียล – บทเรียนเรื่องความเชื่อและการตรวจสอบ
จากเหตุการณ์นี้ สังคมออนไลน์ได้ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง บางส่วนมองว่าควรมีการตรวจสอบอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์จากศรัทธาประชาชน ขณะที่อีกฝ่ายเห็นใจอ.เชียงและมองว่าอาจถูกโยงเข้ามาโดยไม่เป็นธรรม
ไม่ว่าจะอย่างไร เหตุการณ์นี้ก็เป็นบทเรียนสำคัญให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า “ศรัทธา” เป็นสิ่งที่ต้องใช้ควบคู่กับ “สติ” และ “การตรวจสอบข้อเท็จจริง”
บทสรุป : ความจริงต้องพิสูจน์ได้
การออกมาเปิดใจครั้งแรกของ อ.เชียง ทำให้หลายประเด็นเริ่มคลี่คลายลง แม้จะยังคงมีคำถามจากสังคม แต่การกล้าที่จะเผชิญหน้าและชี้แจงด้วยความโปร่งใส ก็นับเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความบริสุทธิ์ใจ
สุดท้ายแล้ว คดี “ผู้วิเศษคนที่ 3” อาจยังต้องติดตามต่อไปว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสรุปผลการตรวจสอบอย่างไร แต่สำหรับ อ.เชียง วันนี้ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “ตนไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำไม่โปร่งใส” และพร้อมให้ทุกฝ่ายตรวจสอบ






