ร้อนฉ่า! นักธุรกิจลำพูน เอาผิด “พิซซี่” มิสแกรนด์กัมพูชา คดียักยอกทรัพย์
นักธุรกิจสาวลำพูนเอาผิด “พิชชี่” อดีตมิสแกรนด์กัมพูชา 2022 คดียักยอกทรัพย์สินค้า
กรณีที่ อดีตมิสแกรนด์กัมพูชา 2022 "Ms. LIM SREY PICH" หรือที่รู้จักในชื่อ "พิชชี่" ถูกนักธุรกิจสาวชาวลำพูนฟ้องร้องดำเนินคดี ยังคงเป็นประเด็นร้อนในวงการสังคมและธุรกิจ หลังจากที่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์สินและไม่ยอมนำสินค้าที่ได้รับไปจำหน่ายตามข้อตกลง
จุดเริ่มต้นของข้อพิพาท
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานข้อมูลประจำวันเกี่ยวกับคดีนี้ โดยระบุว่าทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.พิซซานันท์ (สงวนนามสกุล) ชาวจังหวัดลำพูน ได้เดินทางมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีกับ Ms. LIM SREY PICH หรือ พิชชี่
คดีนี้มีพื้นฐานมาจากการทำธุรกิจร่วมกันในปี พ.ศ. 2565 โดยทั้งสองฝ่ายตกลงเรื่องการ ผลิตและขายสินค้าประเภทครีม เพื่อนำไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชา โดยมีข้อตกลงชัดเจนว่า หากขายสินค้าได้ จะทำการแบ่งเงินกำไร คนละครึ่ง
น.ส.พิซซานันท์ ทำหน้าที่เป็นผู้ลงทุนผลิตสินค้า
พิชชี่ มีหน้าที่นำสินค้าไปจำหน่ายในกัมพูชา
การตกลงนี้ถือเป็น สัญญาธุรกิจเอกชนที่ชัดเจนและมีเอกสารรองรับ
รายละเอียดสินค้าที่จัดส่ง
ตามเอกสารหลักฐานระบุว่า น.ส.พิซซานันท์ ได้สั่งผลิตสินค้ากับโรงงานและจัดส่งให้ พิชชี่ นำไปจำหน่ายในกัมพูชา มีรายการดังนี้
1. CC Cream 150ml จำนวน 350 กล่อง กล่องละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 35,000 บาท
2. CC Cream มีกลิตเตอร์ 150ml จำนวน 350 กล่อง กล่องละ 110 บาท รวมเป็นเงิน 38,500 บาท
3. โทนอัพกันแดด 150ml จำนวน 300 กล่อง กล่องละ 110 บาท รวมเป็นเงิน 30,000 บาท
4. การจดแจ้ง อย. จำนวน 3 รายการ รายการละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 7,500 บาท
5. เพรทสกรีน (แม่พิมพ์สำหรับบรรจุภัณฑ์ครีม) จำนวน 6 แผ่น แผ่นละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,000 บาท
รวมมูลค่าสินค้าและค่าใช้จ่ายทั้งหมด 123,000 บาท
สินค้าทั้งหมดถูกส่งจากโรงงานในประเทศไทยไปยังประเทศกัมพูชา ผ่านบริษัทขนส่งเอกชน และน.ส.พิชชี่ได้รับสินค้าเรียบร้อยเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567
ความขัดแย้งเกิดขึ้น
หลังจากได้รับสินค้า พิชชี่กลับอ้างว่าสินค้าไม่เหมือนตัวอย่างที่เคยทดลองใช้ และ ไม่ยอมนำสินค้าทั้งหมดไปจำหน่ายตามข้อตกลง ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อฝ่ายน.ส.พิซซานันท์
น.ส.พิซซานันท์จึงได้ทวงถามให้ พิชชี่ส่งมอบสินค้าคืน และเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 600,000 บาท
แม้ว่าพิชชี่จะโอนเงินค่าเสียหายให้ แต่ ไม่ยอมส่งสินค้าคืนตามข้อตกลง ทำให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็นข้อพิพาททางกฎหมาย
วันที่ 30 สิงหาคม 2568 น.ส.พิซซานันท์ได้ทวงถามสินค้าครั้งล่าสุด แต่ พิชชี่ยังบ่ายเบี่ยงไม่ส่งมอบ
น.ส.พิซซานันท์เชื่อว่า พิชชี่มีเจตนา เบียดบังสินค้าทั้งหมดเป็นของตนเองโดยทุจริต
การดำเนินคดีทางกฎหมาย
เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนทั้งในเรื่อง การสั่งผลิตสินค้า ข้อตกลงแบ่งกำไร และการจัดส่งสินค้า ทำให้ฝ่ายน.ส.พิซซานันท์สามารถ ดำเนินคดีอาญา กับพิชชี่ในคดี ยักยอกทรัพย์ ได้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ รับเรื่องและดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย
คดีนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการทุจริตทางธุรกิจระหว่างบุคคล แต่ยังสะท้อนถึง ความสำคัญของการทำสัญญาและการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคู่ค้า โดยเฉพาะในกรณีธุรกิจข้ามประเทศ
ผลกระทบต่อภาพลักษณ์
กรณีนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ พิชชี่ อดีตมิสแกรนด์กัมพูชา 2022 เนื่องจากมีการกล่าวหาในเชิงลบต่อสาธารณะ เรื่องการ ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงทางธุรกิจและยักยอกทรัพย์สิน
ในวงการธุรกิจและสังคมออนไลน์ การกระทำดังกล่าวถือว่า สร้างความเสียหายต่อความเชื่อถือ
นักลงทุนหรือผู้ร่วมธุรกิจที่อาจสนใจร่วมงานกับพิชชี่ ต้องพิจารณา ความเสี่ยงด้านเครดิตและความน่าเชื่อถือ
ข้อควรระวังสำหรับธุรกิจข้ามประเทศ
กรณีนี้ยังสะท้อนถึง ความเสี่ยงในการทำธุรกิจข้ามประเทศ โดยเฉพาะในด้านการจัดส่งสินค้าและการทำข้อตกลง
1. การมีสัญญาที่ชัดเจน ต้องระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย
2. หลักฐานการส่งมอบสินค้าและการชำระเงิน ต้องครบถ้วน เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย
3. การติดตามและตรวจสอบสินค้า หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตาม ต้องสามารถเรียกร้องหรือยึดสินค้ากลับคืนได้
4. การระบุค่าเสียหาย หากเกิดความเสียหายจากการละเมิดข้อตกลง ต้องมีการตกลงกันล่วงหน้า
การป้องกันเบื้องต้นเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันข้อพิพาททางธุรกิจ
สรุปเหตุการณ์และแนวทางคดี
กรณี พิชชี่ หรือ LIM SREY PICH ถูกฟ้องร้องคดียักยอกทรัพย์สิน ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทั้งในแง่ธุรกิจและสังคม
น.ส.พิซซานันท์ลงทุนผลิตสินค้าให้ครบถ้วนตามสัญญา
พิชชี่ได้รับสินค้าแต่ไม่ยอมจำหน่ายและไม่ส่งคืน
มีการทวงถามและเรียกร้องค่าเสียหาย แต่สินค้ายังไม่คืน
คดีถูกดำเนินการต่อที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ภายใต้กฎหมายอาญา
เหตุการณ์นี้เตือนใจผู้ประกอบธุรกิจ ควรตรวจสอบคู่ค้าก่อนการลงทุน และต้องมีสัญญาชัดเจน หากทำธุรกิจข้ามประเทศยิ่งต้องระวังมากขึ้น
กรณีนี้คาดว่าจะเป็น คดีตัวอย่างที่สะท้อนถึงความสำคัญของความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและการส่งออก






