"หมิว สิริลภัส ไม่ทน! ตอกกลับ คำผกา หลังโดนล้อแรง ปมโรคซึมเศร้า"
ดราม่า “หมิว สิริลภัส” ส.ส.พรรคประชาชน สวนกลับ “คำผกา” หลังถูกบูลลี่ปมซึมเศร้า – จุดไฟถกเถียงสังคมเรื่องมารยาทและสุขภาพจิต
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วงการการเมืองไทยและสังคมออนไลน์ต้องร้อนระอุอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์การปะทะเดือดทางวาทกรรม ระหว่าง หมิว สิริลภัส ทองตระการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิง พรรคประชาชน กับ คำผกา นักวิชาการ นักจัดรายการ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ที่ปัจจุบันร่วมทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการในสื่อกระแสหลัก รวมถึงมีบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการออกอากาศรายการ “Sit with KamPhaka” เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งออกอากาศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมีการหยิบยกประเด็นทางการเมืองมาพูดถึง โดยเฉพาะการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ซึ่งก็คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากหลากหลายพรรคการเมือง รวมถึงเสียงของ ส.ส.พรรคประชาชนด้วย
ในช่วงหนึ่งของรายการ มีการพูดถึงบทบาทของ หมิว สิริลภัส ส.ส.หญิงพรรคประชาชน ที่โหวตสนับสนุนนายอนุทิน จนกลายเป็นประเด็นที่พิธีกรทั้ง 3 รายของรายการ รวมถึงคำผกา หยิบยกไปวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงเสียดสี โดยมีบางช่วงที่ถูกนำไปขยายความต่อบนสื่อสังคมออนไลน์ว่า “แรงเกินงาม”
จุดเริ่มดราม่า: บูลลี่ปม “โรคซึมเศร้า”
บนแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) ได้มีผู้ชมบางรายเผยแพร่คลิปบางตอนของรายการ พร้อมข้อความวิจารณ์ว่า พิธีกรมีการใช้ถ้อยคำที่ล้อเลียนและบูลลี่เกี่ยวกับอาการ โรคซึมเศร้า ของหมิว สิริลภัส โดยเฉพาะการเปรียบเปรยและหัวเราะเยาะถึงกรณีที่เธอเคยพูดถึงโรคซึมเศร้าในสภาผู้แทนราษฎร
ข้อความที่ถูกเผยแพร่ออกมานั้น ใช้คำแรง เช่น “อิหมิวซึมเศร้า ขอให้ XXX ซึมเศร้า ร้องให้ในสภาอีกเยอะ ๆ” ซึ่งทันทีที่เผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าเป็นการไม่เหมาะสม และ “ข้ามเส้น” เรื่องที่ไม่ควรนำมาล้อเล่น
เพราะปัญหาโรคซึมเศร้าและสุขภาพจิต ถือเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลหลายสมัย รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลเพื่อไทย เคยผลักดันให้เป็น วาระแห่งชาติ พร้อมกำหนดให้มี “Mind Month” เพื่อสร้างความตระหนักในสังคม
“หมิว สิริลภัส” ออกโรงสวน – ย้ำป่วยจริง ไม่ควรถูกล้อ
เมื่อดราม่าขยายวงกว้าง หมิว สิริลภัส ส.ส.พรรคประชาชน อายุ 38 ปี ตัดสินใจออกมาโพสต์ตอบโต้ผ่าน Facebook ส่วนตัว (@สิริลภัส ทองตระการ) โดยระบุว่า
“ค่ะ เป็นซึมเศร้าและรักษาอยู่ค่ะ… พรรคเพื่อไทย และอดีตนายกที่แขก (คำผกา) ชื่นชม เขายังมีมติ ครม. ออกมา เรื่องกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ มี Mind Month ไม่รู้ว่าแขกรู้รึเปล่า… คนเขาร่วมรณรงค์กันแทบตายว่าอย่าตีตรา อย่าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น พยายามที่จะยกระดับระบบสุขภาพจิตให้ดีขึ้น”
เธอยังทิ้งท้ายด้วยการเหน็บแรงถึงมารยาทของผู้ดำเนินรายการว่า
“มานั่งเรียกจิกคนอื่นว่า อีหมิว อีหมิว ตอนเด็กๆ ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทเหรอ… หนังสือ สมบัติผู้ดี ไม่ได้มีไว้ให้ต้มกิน ลองอ่านเพิ่มอีกซักเล่มแล้วลองมาปรับใช้ดูค่ะ แขก”
ถ้อยคำดังกล่าวถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง และจุดกระแสให้ผู้คนจำนวนมากเข้ามาแสดงความเห็น บางส่วนเห็นใจหมิว และมองว่าคำพูดของคำผกาและพิธีกรร่วมรายการเป็นการ บูลลี่เชิงสังคม ที่ไม่สมควร ขณะที่บางส่วนก็มองว่าเป็นการโต้ตอบที่ “ดุเดือดเกินไป” ของฝ่ายนักการเมืองหญิง
กระแสกดดัน – สังคมเรียกร้องให้คำผกาและทีมงานขอโทษ
หลังคลิปดังกล่าวถูกแชร์มากขึ้น มีผู้ใช้งานโซเชียลจำนวนมากเข้าไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ของหมิว สิริลภัส พร้อมเรียกร้องให้ คำผกาและทีมผู้ดำเนินรายการอีกสองราย ออกมารับผิดชอบต่อคำพูดดังกล่าว
หลายเสียงชี้ว่า การใช้ถ้อยคำหยาบคายเพื่อล้อเลียนอาการป่วยทางจิตใจของใครก็ตาม ไม่เพียงแต่เป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่ยังสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับสังคม โดยเฉพาะกับเยาวชนที่อาจรับชมรายการดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีผู้ตั้งคำถามถึงมาตรฐานการทำงานของสื่อและผู้ดำเนินรายการในปัจจุบัน ว่าควรมีขอบเขตแค่ไหนในการวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะ
การเมืองหลังบ้าน – ไทม์ไลน์ความขัดแย้ง
1. 4 กันยายน 2568 – รายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” มีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานีโทรทัศน์ภาครัฐ (NBT) และการจัดการคนทำงานสื่อในยุคการเมืองเปลี่ยนขั้ว
2. 5 กันยายน 2568 – ออกอากาศรายการ Sit with KamPhaka ซึ่งมีการวิพากษ์การเมือง รวมถึงล้อเลียนหมิว สิริลภัส ปมซึมเศร้า
3. 6 กันยายน 2568 – คลิปถูกแชร์ต่อบนแพลตฟอร์ม X พร้อมคำวิจารณ์รุนแรง ทำให้ประเด็นกลายเป็นเทรนด์
4. 7 กันยายน 2568 – หมิว สิริลภัส โพสต์ตอบโต้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว สวนกลับคำผกาและทีมงานด้วยข้อความดุเดือด
5. 8 กันยายน 2568 เป็นต้นมา – กระแสสังคมเรียกร้องให้ทีมผู้ดำเนินรายการออกมารับผิดชอบและขอโทษ
มิติที่ลึกกว่า: โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนชัดเจนว่า แม้ในสังคมไทยจะมีการรณรงค์เรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น แต่การตีตราและการใช้ถ้อยคำดูหมิ่นต่อผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ายังปรากฏอยู่
จากรายงานของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากกว่า 1.5 ล้านคนในประเทศไทย แต่มีเพียง 30-40% ที่เข้าถึงการรักษา
องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า การล้อเลียน การตีตรา และการทำให้เป็นเรื่องตลก คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่กล้าเข้ารับการรักษา
การที่นักการเมืองหญิงคนหนึ่งออกมาพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวในสภา จึงไม่ควรถูกบูลลี่หรือนำมาเป็นเครื่องมือโจมตี
สรุป
ดราม่า “หมิว สิริลภัส – คำผกา” ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะกันระหว่างนักการเมืองกับผู้ดำเนินรายการสื่อเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือ การขาดความตระหนักในเรื่องมารยาทสาธารณะ และการเคารพสิทธิผู้ป่วยทางจิตใจ
แม้คำผกาและทีมงานอาจมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวเป็น “สีสัน” หรือ “การเสียดสีการเมือง” แต่ในความเป็นจริง กลับส่งผลสะเทือนต่อความรู้สึกของผู้ที่กำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต และยังสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อสังคม
กรณีนี้จึงเป็น “บทเรียน” ให้ทั้งนักการเมือง บุคคลสาธารณะ และผู้ทำงานสื่อต้องทบทวนว่า การแสดงความเห็นใด ๆ บนพื้นที่สาธารณะ ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างกระแสหรือเรตติ้งเพียงชั่วครู่






















