ผู้ว่าฯ สระแก้ว สั่งฟ้าผ่า! เดินหน้าย้ายชาวกัมพูชารุกชายแดนไทยทันที
ผู้ว่าฯ สระแก้วใช้มาตรการเด็ดขาด! จี้กัมพูชาย้าย 170 ครัวเรือนพ้นพื้นที่บุกรุกชายแดน บ้านหนองจาน–หนองหญ้าแก้ว ย้ำอธิปไตยไทย หวั่นปะทะตึงเครียดยืดเยื้อ
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่จังหวัดสระแก้ว กลายเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อ นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด จัดการปัญหาการบุกรุกที่ดินของชาวกัมพูชาที่เข้ามาสร้างบ้านเรือนในเขตแดนไทย โดยได้ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจีย ประเทศกัมพูชา เพื่อขอให้ดำเนินการย้ายชาวบ้านที่บุกรุกกว่า 170 ครัวเรือน ออกจากพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
มาตรการครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการยืนยันอธิปไตยไทยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการจัดการปัญหาชายแดนที่มีความซับซ้อนทั้งด้านกฎหมาย ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ภาพรวมการบุกรุกพื้นที่ชายแดน
จากข้อมูลการตรวจสอบของฝ่ายปกครอง พบว่ามีชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างบ้านเรือนในฝั่งไทยรวมกว่า 170 ครัวเรือน โดยแบ่งเป็น
บ้านหนองจาน : 135 ครัวเรือน บนพื้นที่ประมาณ 64 ไร่
บ้านหนองหญ้าแก้ว : 35 ครัวเรือน บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่
พื้นที่ดังกล่าวถูกจัดอยู่ในเขตป่าและพื้นที่ตามกฎหมายของไทย ทำให้การตั้งถิ่นฐานของชาวกัมพูชาถือเป็นการ บุกรุกที่ผิดกฎหมาย และละเมิดอธิปไตยโดยตรง
มาตรการของฝ่ายไทย
เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ผู้ว่าฯ สระแก้ว ได้ดำเนินการหลายด้าน ได้แก่
1. ทำหนังสือถึงผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจีย
เพื่อขอความร่วมมือให้กัมพูชาจัดการย้ายชาวบ้านของตนเองออกจากพื้นที่บุกรุก โดยยึดตามกรอบ MOU การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543
2. ติดตั้งป้ายเตือน 3 ภาษา (ไทย-อังกฤษ-เขมร)
ในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อแจ้งชัดเจนว่า พื้นที่นี้อยู่ในเขตแดนไทย และเป็นการบุกรุกผิดกฎหมาย
3. ประกาศใช้กฎหมายไทยอย่างเด็ดขาด
หากยังเพิกเฉย ไม่ย้ายออก ฝ่ายไทยจะดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
พระราชบัญญัติป่าไม้
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
มาตรการเหล่านี้สะท้อนว่าไทยพร้อมใช้ทั้ง แนวทางการทูตและกฎหมายควบคู่กัน เพื่อจัดการปัญหาโดยไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อ
ปฏิกิริยาของชาวกัมพูชา
รายงานระบุว่า มาตรการดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับชาวกัมพูชาบางส่วน โดยมีการเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้พื้นที่ชายแดนเพื่อกดดันเจ้าหน้าที่ไทย แม้ยังไม่ถึงขั้นปะทะ แต่สถานการณ์ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด
ฝ่ายความมั่นคงไทย ทั้ง ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน และฝ่ายปกครอง ได้เสริมกำลังควบคุมพื้นที่ พร้อมย้ำแนวทางปฏิบัติที่ใช้ ความอดทนอดกลั้นสูงสุด และหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง เพื่อป้องกันการปะทะที่อาจบานปลายกลายเป็นวิกฤติระหว่างประเทศ
มิติทางกฎหมายและอธิปไตย
การบุกรุกของชาวกัมพูชาแม้ดูเป็นเพียงการสร้างบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย แต่ในเชิงกฎหมายถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติไทยอย่างชัดเจน หากปล่อยปละละเลย อาจส่งผลให้เกิดการอ้างสิทธิ์พื้นที่ในอนาคต
MOU ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไทย–กัมพูชา เป็นกรอบความร่วมมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อน แต่กระบวนการปฏิบัติในพื้นที่จริงยังคงมีความอ่อนไหวสูง เพราะเกี่ยวข้องกับชุมชนท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันทั้งสองฝั่ง
แผนระยะยาว: การสร้างรั้วชายแดน
เพื่อป้องกันปัญหาซ้ำซาก สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้อนุมัติแนวทาง สร้างรั้วชายแดน ในพื้นที่ดังกล่าว ครอบคลุมระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร โดยรั้วนี้จะทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตชัดเจนระหว่างไทยและกัมพูชา ลดช่องว่างในการบุกรุก
แม้แผนนี้จะช่วยเสริมความมั่นคง แต่ก็มีความท้าทายทั้งเรื่องงบประมาณ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองฝั่งชายแดนที่เคยพึ่งพาอาศัยกัน
เวทีทวิภาคี: GBC วันที่ 10 กันยายน 2568
ประเด็นดังกล่าวจะถูกหยิบยกเข้าสู่การประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ระหว่างไทย–กัมพูชา ในวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่จะถึงนี้
ที่ประชุม GBC จะเป็นพื้นที่สำคัญในการหาทางออกที่ยั่งยืน ทั้งในมิติการรักษาอธิปไตย ความมั่นคง และการสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับทวิภาคี
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
1. ด้านความมั่นคง
หากกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือ การกดดันในพื้นที่ชายแดนอาจนำไปสู่ความตึงเครียด หรือแม้กระทั่งเหตุปะทะระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่
2. ด้านเศรษฐกิจและสังคมชายแดน
การสร้างรั้วชายแดนอาจส่งผลกระทบต่อการค้าขายและการดำเนินชีวิตของประชาชนสองฝั่งที่เคยไปมาหาสู่กัน
3. ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ไทยและกัมพูชาต้องบริหารจัดการปัญหานี้ด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้บานปลายกลายเป็นประเด็นทางการเมืองระดับชาติ ที่อาจกระทบต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
บทสรุป
มาตรการของ ผู้ว่าฯ สระแก้ว ในการส่งหนังสือถึงผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจีย และเรียกร้องให้ย้าย 170 ครัวเรือนกัมพูชาออกจากพื้นที่บุกรุก ถือเป็นก้าวสำคัญในการยืนยันอธิปไตยของไทยอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาชายแดนไม่ใช่เพียงเรื่องของกฎหมายหรือการทหารเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองฝั่ง ความอดทน อดกลั้น และการใช้กลไกทวิภาคีอย่าง GBC จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยหาทางออกที่ยั่งยืน ลดความตึงเครียด และสร้างความมั่นคงร่วมกันในระยะยาว








