ด่วน! สภาฯ ไฟเขียวเคาะเลื่อนวาระ เลือกนายกฯ คนที่ 32 ขึ้นก่อน
สภาฯ เห็นชอบเลื่อนวาระเลือกนายกรัฐมนตรี ก่อนหลังอภิปรายวุ่นวาย ปมความเหมาะสมและข้อเสนอโหวตวันอื่น
วันที่ 5 กันยายน 2568 เกิดเหตุการณ์สำคัญในสภาผู้แทนราษฎรไทย เมื่อ ที่ประชุมสภา มีมติ เห็นชอบเลื่อนวาระการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี ขึ้นมาก่อน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากมีการอภิปรายถกเถียงอย่างดุเดือดเกี่ยวกับความเหมาะสมของการจัดวาระประชุม และข้อเสนอให้เลื่อนการโหวตออกไปยังวันอื่น
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นประเด็นร้อนในสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งถือเป็นวาระสำคัญของสภาผู้แทนราษฎร และมีผลโดยตรงต่อทิศทางการเมืองของประเทศ
วาระด่วนการประชุมสภาฯ
ตามเอกสารที่เผยแพร่โดย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ในวันที่ 5 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรจะมีการพิจารณาวาระเรื่องด่วนที่ 8 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการ ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อย่างไรก็ตาม ในเอกสารมีการเพิ่มเติมข้อมูลว่า ประธานสภาฯ ได้มีคำสั่งให้บรรจุเรื่องดังกล่าวเป็นวาระเรื่องด่วนที่ 4 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยระบุชัดเจนว่า เป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 เป็นพิเศษ
การจัดลำดับวาระใหม่ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้วาระสำคัญของประเทศสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และลดความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นจากวาระอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการประชุม
การถกเถียงในที่ประชุม – ฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ก่อนการลงมติปรับวาระ มีการอภิปรายอย่างเข้มข้นในสภา โดย สมาชิกบางส่วนเห็นว่าการเลื่อนวาระขึ้นมาก่อนเป็นเรื่องจำเป็น เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและทิศทางการเมืองของประเทศ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ อย่างเร่งด่วน
ขณะเดียวกัน สมาชิกบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนวาระ โดยให้เหตุผลว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีควรมีการเตรียมความพร้อมให้สมาชิกทุกคนได้รับข้อมูลเพียงพอ รวมถึงเปิดโอกาสให้อภิปรายถึงข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้ง
จากการลงคะแนนเสียงปรากฏว่า สมาชิกทั้งหมด 464 คน มีมติออกเป็นดังนี้
เห็นด้วยกับการเลื่อนวาระขึ้นมาก่อน 313 เสียง
ไม่เห็นด้วย 142 เสียง
งดออกเสียง 4 เสียง
ไม่ลงคะแนนเสียง 5 เสียง
ผลการลงมติสะท้อนถึงความเห็นที่แตกต่างในสภาฯ ระหว่างฝ่ายสนับสนุนการเร่งพิจารณาและฝ่ายที่ต้องการเวลามากขึ้นในการพิจารณาผู้ที่จะได้รับแต่งตั้ง
ความสำคัญของวาระเลือกนายกรัฐมนตรี
การเลือกนายกรัฐมนตรีถือเป็น วาระสำคัญที่สุดของสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นขั้นตอนที่สภาฯ จะเสนอบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งไปยังพระมหากษัตริย์ เพื่อโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า สภาผู้แทนราษฎรต้องเสนอบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และเป็นที่ยอมรับของสภา เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น การจัดลำดับวาระใหม่เพื่อให้เรื่องนี้ถูกพิจารณาก่อนวาระอื่น ถือเป็นการเร่งให้กระบวนการทางการเมืองดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและลดความล่าช้าอันอาจส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล
เหตุผลและข้อเสนอให้โหวตวันอื่น
แม้ว่าที่ประชุมจะลงมติเลื่อนวาระขึ้นมา แต่ สมาชิกบางคนเสนอให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันอื่น เพื่อให้เวลาสมาชิกสภาได้ศึกษาและพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครอย่างละเอียด
ข้อเสนอเหล่านี้สะท้อนถึง ความกังวลเรื่องความเหมาะสมของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้ง และความต้องการให้กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย
ปฏิกิริยาจากสมาชิกสภาและสังคม
เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิด ความตื่นตัวในสังคม ทั้งในแวดวงการเมืองและสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้ติดตามข่าวต่างให้ความเห็นหลากหลาย
ฝ่ายสนับสนุนเห็นว่าการเลื่อนวาระขึ้นมาก่อนเป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะ ลดความล่าช้าและให้ประเทศมีนายกรัฐมนตรีใหม่โดยเร็ว
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่าควรให้เวลาในการอภิปรายและตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านก่อน เพื่อ หลีกเลี่ยงการตัดสินใจเร่งรีบที่อาจสร้างปัญหาในอนาคต
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้สะท้อนถึง ความละเอียดอ่อนของกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ต้องสมดุลทั้งความเร่งด่วนและความรอบคอบ
ผลกระทบเชิงการเมือง
การลงมติเลื่อนวาระในครั้งนี้ มีผลโดยตรงต่อ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และอาจส่งผลต่อ เสถียรภาพของรัฐบาลในอนาคต
การเร่งให้สภาฯ พิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี ช่วยให้ประเทศสามารถดำเนินนโยบายได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การลงมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์สะท้อนถึง ความแตกแยกในสภา และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองหรือระหว่างฝ่ายการเมืองต่าง ๆ
นักวิเคราะห์การเมืองระบุว่า การประชุมสภาครั้งนี้เป็น สัญญาณสำคัญของความเข้มข้นทางการเมือง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับสมดุลอำนาจในรัฐบาลชุดใหม่
บทสรุป
การเลื่อนวาระเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 กันยายน 2568 ไม่เพียงเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองในสภาฯ แต่ยังสะท้อนถึง ความท้าทายของกระบวนการประชาธิปไตยไทย ที่ต้องสมดุลระหว่างความเร่งด่วนและความรอบคอบ
แม้ว่าที่ประชุมจะมีมติให้เลื่อนวาระขึ้นมาก่อน แต่ความเห็นต่างในสภาฯ ยังคงมีอยู่ การเปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปรายอย่างเต็มที่ และการพิจารณาข้อมูลผู้สมัครอย่างละเอียด ยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่าง โปร่งใส เป็นธรรม และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
สำหรับประชาชนทั่วไป เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว และกระบวนการตัดสินใจของผู้แทนราษฎรมีผลโดยตรงต่อทิศทางของประเทศ















