ยายกัมพูชาด่าลั่น อ้างสุรินทร์คือกัมพูชา คนไทยไม่ทน สวนกลับแรง
ดราม่าเดือด! คลิปคุณยายกัมพูชาอ้าง "สุรินทร์คือกัมพูชา" จุดชนวนกระแสโซเชียลไทย-กัมพูชา
วันที่ 2 กันยายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก ชุมชนคนสุรินทร์ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่กลายเป็นกระแสร้อนแรงบนโลกออนไลน์ ภายในคลิปปรากฏภาพหญิงสูงวัยชาวกัมพูชากำลังพูดเป็นภาษาเขมร พร้อมข้อความที่สร้างความตกใจและไม่พอใจให้กับชาวไทย โดยเฉพาะประชาชนในจังหวัดสุรินทร์
ในคลิป คุณยายชาวกัมพูชาอ้างว่า จังหวัดสุรินทร์เป็นของกัมพูชา และกล่าวหาคนไทยว่ามายึดครองผืนแผ่นดิน รวมถึงกัดกินทรัพยากรที่ควรเป็นของกัมพูชา พร้อมคำพูดที่สร้างแรงสั่นสะเทือนว่า
“วันนี้พวกมันจะมายึดแผ่นดินกัมพูชา คนสุรินทร์ก็กัดกินน้ำลายพวกเราจนกลายเป็นกัมพูชาสุรินทร์ไปด้วย กัมพูชาสุรินทร์นั่นแหละ คือกัมพูชาของเราแท้ ๆ แต่มันกลับมาเอาแผ่นดินเราไป”
นอกจากเสียงของหญิงสูงวัยแล้ว ในคลิปยังมีเสียงชายอีกคนเสริมว่า คนไทยพยายามแทรกแซงวิถีชีวิตชาวกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกหรือการค้าขาย พร้อมทิ้งท้ายด้วยคำพูดเชิงสาปแช่งว่า
“พื้นดินนี้เทวดาคุ้มครอง ใครมาบุกรุก ไม่มีวันพบสันติสุขหรอก”
กระแสโซเชียลเดือด! คนสุรินทร์ลุกขึ้นตอบโต้
หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป กระแสในโลกออนไลน์ก็ร้อนแรงทันที โดยเฉพาะในกลุ่มคนไทยจังหวัดสุรินทร์ ที่ไม่พอใจกับการอ้างสิทธิ์ของชาวกัมพูชาในคลิป
หนึ่งในข้อความโต้กลับที่ถูกพูดถึงและแชร์อย่างกว้างขวางคือ
“รู้ทุกอย่างเลยนะ ยกเว้นเรื่องเดียวที่ไม่รู้ เรื่องจริง”
ข้อความสั้น ๆ แต่สะท้อนอารมณ์ประชาชนได้อย่างชัดเจนว่า คนไทยมองว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว ไม่มีมูลความจริง และเป็นเพียงการสร้างความเกลียดชัง
สุรินทร์: จังหวัดชายแดนไทยที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
เพื่อเข้าใจประเด็นนี้ จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยังภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุรินทร์
จังหวัดสุรินทร์ ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีพรมแดนติดกับกัมพูชาทางทิศใต้ ประชากรส่วนหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์พูดภาษาเขมรเป็นภาษาท้องถิ่น และมีวัฒนธรรมร่วมคล้ายคลึงกับกัมพูชาในหลายด้าน
อย่างไรก็ตาม ในแง่กฎหมายและการปกครอง จังหวัดสุรินทร์เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในฐานะหนึ่งในหัวเมืองประเทศราช และได้กลายเป็นจังหวัดของไทยเต็มรูปแบบภายใต้การปกครองส่วนภูมิภาค
ดังนั้น การกล่าวอ้างว่า “สุรินทร์คือกัมพูชา” จึงเป็นเพียงการหยิบยกประวัติศาสตร์บางส่วนมาใช้ในเชิงการเมืองหรือปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยม
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา: เพื่อนบ้านที่มีทั้งความร่วมมือและความขัดแย้ง
ไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมาโดยตลอด ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง
ด้านเศรษฐกิจ ไทยเป็นหนึ่งในคู่ค้าใหญ่ที่สุดของกัมพูชา การค้าชายแดนที่สุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียงมีมูลค่ามหาศาล
ด้านแรงงาน มีแรงงานกัมพูชาจำนวนมากเดินทางเข้ามาทำงานในไทย โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคตะวันออก
ด้านการเมือง มักมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความตึงเครียด เช่น ข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร และการอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ชายแดนบางส่วน
การที่มีคลิปคุณยายกัมพูชาออกมาอ้างสิทธิ์เหนือจังหวัดสุรินทร์ จึงถูกมองว่าเป็นการ ตอกย้ำความเปราะบางในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
โลกออนไลน์ไทย: ความไม่พอใจและการประชดประชัน
บนโซเชียลมีเดียของไทย ชาวเน็ตจำนวนมากแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า คำพูดในคลิปเป็น “เรื่องเพ้อเจ้อ” และพยายามตอบโต้ด้วยการประชดประชัน
ตัวอย่างคอมเมนต์ที่พบมาก เช่น
“ถ้าสุรินทร์เป็นกัมพูชา งั้นให้กัมพูชามารับผิดชอบถนน น้ำประปา และโรงพยาบาลด้วยไหม?”
“คนไทยเชื้อสายเขมรอยู่ในสุรินทร์ แต่ไม่ใช่ว่าสุรินทร์จะเป็นของกัมพูชา”
“ดินแดนที่เทวดาคุ้มครองไม่ใช่ข้ออ้างทางกฎหมาย”
คอมเมนต์เหล่านี้สะท้อนว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่เพียงปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ยังมองว่าเป็นการพยายามสร้างความแตกแยกโดยไร้สาระ
นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า ปรากฏการณ์แบบนี้สะท้อนถึง “ความไม่มั่นคงของอัตลักษณ์” ในพื้นที่ชายแดน กัมพูชาบางกลุ่มยังคงรู้สึกว่าประวัติศาสตร์ถูก “ช่วงชิง” จากอาณาจักรสยามในอดีต
แต่ในโลกปัจจุบัน ดินแดนถูกกำหนดด้วย เส้นเขตแดนสมัยใหม่ที่เป็นผลของสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ดังนั้นการอ้างสิทธิ์ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลทางกฎหมายได้
นักวิชาการบางคนยังเตือนว่า หากปล่อยให้กระแสดราม่าโซเชียลบานปลาย อาจกลายเป็นชนวนให้เกิด ความเกลียดชังระหว่างประชาชน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ของสองประเทศ
การอ้างสิทธิ์เหนือจังหวัดสุรินทร์อาจฟังดูเกินจริง แต่ในอดีต ไทยและกัมพูชาเคยมีข้อพิพาทดินแดนที่จริงจังกว่านี้มาแล้ว
กรณี ปราสาทพระวิหาร เป็นตัวอย่างชัดเจนที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์เหนือโบราณสถานบนภูเขาพนมดงรัก แม้จะอยู่ติดชายแดนไทย และในที่สุดศาลโลกได้ตัดสินให้เป็นของกัมพูชาในปี 2505
เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งสองประเทศเกิดความขัดแย้งหลายครั้ง จนกระทั่งปัจจุบันยังเป็นประเด็นอ่อนไหว ดังนั้น การพูดถึงดินแดนสุรินทร์ในลักษณะเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีพลังทางสัญลักษณ์ที่สามารถกระตุ้นความรู้สึกของคนทั้งสองฝั่งได้
บทสรุป: ดราม่าโซเชียลที่สะท้อนปัญหาใหญ่
คลิปคุณยายกัมพูชาที่อ้างว่า “สุรินทร์คือกัมพูชา” อาจดูเป็นเพียงคลิปสั้น ๆ ที่ถูกเผยแพร่บนโซเชียล แต่กลับกลายเป็นชนวนให้เกิดกระแสการโต้เถียงครั้งใหญ่ระหว่างประชาชนสองประเทศ
สำหรับคนไทยโดยเฉพาะชาวสุรินทร์ ข้อกล่าวหานี้ถูกมองว่าเป็นการ บิดเบือนความจริงทางประวัติศาสตร์ และละเมิดความรู้สึกของคนในพื้นที่ ส่วนสำหรับชาวกัมพูชาบางส่วน อาจสะท้อนความรู้สึกเชิงชาตินิยมที่ยังคงมีต่อดินแดนชายแดน
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า โซเชียลมีเดียสามารถขยายความขัดแย้งได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทั้งสังคมไทยและกัมพูชาจำเป็นต้องใช้สติและวิจารณญาณในการเสพข่าว เพื่อป้องกันไม่ให้ดราม่าเล็ก ๆ กลายเป็นความบาดหมางที่ใหญ่โต
สุดท้าย ความจริงก็คือ สุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันงดงาม และเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา มากกว่าจะเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก