เดือด! ว.วชิรเมธี ส่งคำขาดสื่อ รีบแก้ข่าว ไม่งั้นเจอฟ้อง
ว.วชิรเมธี ประกาศชี้แจง หลังถูกใส่ร้ายป้ายสี กรณีไปร่วมงานลูกศิษย์ ยืนยันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจ
วันที่ 1 กันยายน 2568 พระเมธิวชิรดม หรือที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันในนาม พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) พระนักเผยแผ่ธรรมะชื่อดังระดับประเทศ ได้ออกประกาศชี้แจงอย่างเป็นทางการผ่านเพจเฟซบุ๊ก “พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี” หลังจากที่มีสื่อและเพจบางแห่งเผยแพร่ข้อมูลเท็จ กล่าวหาว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของลูกศิษย์รายหนึ่ง
ต้นตอปมดราม่า: การร่วมงาน “เจิมป้าย–บรรยายธรรม” กลายเป็นข่าวลือ
เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ ว.วชิรเมธี ได้รับนิมนต์จากลูกศิษย์ให้ไปทำหน้าที่ทางศาสนาในการ “เจิมป้ายและบรรยายธรรม” เนื่องในโอกาสเปิดร้านใหม่แห่งหนึ่ง การกระทำดังกล่าวถือเป็น ศาสนกิจปกติ ที่พระสงฆ์ในประเทศไทยปฏิบัติมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเจริญพระพุทธมนต์ เจิมป้ายสถานที่ หรือการให้ธรรมะแก่ญาติโยม
อย่างไรก็ตาม หลังงานเสร็จสิ้น ได้มีเพจและสื่อบางแห่งนำภาพและข้อมูลไปเผยแพร่ โดยอ้างว่า ว.วชิรเมธีมี “ส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจ” กับร้านดังกล่าว สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน และทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์
คำชี้แจงจาก ว.วชิรเมธี
เพื่อยุติความเข้าใจผิด ว.วชิรเมธี ได้ออกมาประกาศผ่านเพจทางการ โดยยืนยันว่า
การไปปรากฏตัวในงานดังกล่าว เป็นไปตามคำนิมนต์ของลูกศิษย์
ท่านทำเพียง เจิมป้ายและบรรยายธรรม เท่านั้น
ไม่มีการมีส่วนได้ส่วนเสียหรือแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจใด ๆ
หลังเสร็จสิ้นศาสนกิจ ท่านก็เดินทางกลับตามปกติ
ท่านยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตนเองก็ได้ปฏิบัติภารกิจเช่นนี้ให้กับทั้งภาครัฐและเอกชนมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของพระสงฆ์ไทยทั่วไป ที่มักได้รับนิมนต์ไปประกอบพิธีทางศาสนา
ประกาศถึงสื่อและเพจที่บิดเบือน
ข้อความสำคัญที่ ว.วชิรเมธี ย้ำในประกาศคือการ เรียกร้องให้สื่อมวลชนและเพจที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ แก้ไขข่าวให้ถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริง มิฉะนั้นอาจเข้าข่ายเจตนาบิดเบือนเพื่อใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อพระสงฆ์ และส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพระศาสนา
บทบาทของ ว.วชิรเมธี ในสังคมไทย
ว.วชิรเมธี เป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรูปแบบที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ การใช้ภาษาเข้าใจง่าย และการประยุกต์หลักธรรมเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวัน ท่านมักถูกเชิญให้ไปบรรยายธรรม ทั้งในหน่วยงานรัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย ตลอดจนงานบุญทั่วไป
จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกศิษย์และญาติโยมหลายแห่งจะนิมนต์ท่านไปประกอบศาสนกิจ แต่การตีความผิด ๆ ว่าการไปร่วมงานเท่ากับ “มีผลประโยชน์ร่วม” นั้น ถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
มิติทางสังคม: เมื่อพระสงฆ์ต้องเจอกับ Fake News
เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาใหญ่ในยุคดิจิทัล นั่นคือ การบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับพระสงฆ์และศาสนา ที่มักถูกใช้เพื่อเรียกกระแสหรือสร้างยอดเข้าชม แม้จะขาดความจริงก็ตาม
การใส่ร้ายพระสงฆ์ไม่เพียงกระทบต่อบุคคล แต่ยังอาจ บั่นทอนความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ในวงกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
มุมมองทางกฎหมาย: การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
กรณีที่เพจหรือสื่อนำข้อมูลบิดเบือนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลเท็จ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ
ดังนั้น หากสื่อหรือเพจที่เผยแพร่ข้อมูลไม่ดำเนินการแก้ไข อาจเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย
บทเรียนที่ควรเรียนรู้จากกรณีนี้
1. ความรับผิดชอบของสื่อ
ก่อนเผยแพร่ข้อมูล โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์หรือศาสนา ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ
2. บทบาทของประชาชน
ผู้ใช้โซเชียลควรมีวิจารณญาณ ไม่ควรแชร์ข่าวหรือข้อมูลที่ไม่ยืนยันต้นตอ
3. การสื่อสารของพระสงฆ์ในยุคใหม่
เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า พระสงฆ์ชื่อดังจำเป็นต้องใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการแก้ไขข่าวปลอมอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
ปฏิกิริยาในโลกออนไลน์
หลังจากประกาศของ ว.วชิรเมธี ถูกเผยแพร่ออกมา มีชาวพุทธจำนวนมากเข้ามาให้กำลังใจ พร้อมแสดงความเห็นว่า การที่ท่านถูกใส่ร้ายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และเรียกร้องให้สื่อที่เกี่ยวข้องรีบแก้ไขโดยด่วน
บางส่วนยังมองว่ากรณีนี้ควรเป็น “ตัวอย่างเชิงลบ” ของการทำสื่อที่ขาดจรรยาบรรณ และควรมีมาตรการทางกฎหมายที่จริงจังเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำอีก
สรุป
กรณีการถูกใส่ร้ายของ ว.วชิรเมธี สะท้อนให้เห็นถึง ปัญหา Fake News ในสังคมไทย ที่สามารถสร้างความเสียหายต่อบุคคลสาธารณะได้ในเวลาอันสั้น แม้ว่าเรื่องจริงจะเป็นเพียงการไปปฏิบัติศาสนกิจตามปกติ แต่กลับถูกบิดเบือนจนกลายเป็นกระแสโจมตี
คำชี้แจงของท่านในครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการปกป้องชื่อเสียงส่วนตัว แต่ยังเป็น การย้ำเตือนสังคมถึงความสำคัญของการใช้สื่ออย่างมีความรับผิดชอบ
อ้างอิงจาก: เพจเฟซบุ๊กพระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
















