“หมวดเบียง” ลั่น! หยุดแชร์ภาพ-คลิปในฐานทัพ หวั่นกระทบความมั่นคง
“หมวดเบียง” อินฟลูเอนเซอร์กองทัพบก โพสต์วอนงดแชร์รูป–คลิปในพื้นที่ปฏิบัติการ หวั่นกระทบภารกิจและความปลอดภัย
วันที่ 1 กันยายน 2568 โลกโซเชียลมีประเด็นให้พูดถึงอีกครั้ง หลังจาก ร.ต.รวิสุต ทองทิพย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หมวดเบียง” นายทหารหนุ่มแห่ง กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) และยังเป็นหนึ่งใน อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของกองทัพบก ได้โพสต์ข้อความผ่าน Instagram Story ของตนเอง ภายใต้บัญชี @rawisut_t โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการ วอนขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ติดตาม ให้งดการแชร์ภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอที่มีตนปรากฏอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติงานหรือในฐานทัพ
ข้อความที่ “หมวดเบียง” โพสต์
ในข้อความที่ถูกเผยแพร่ออกมา “หมวดเบียง” ระบุว่า
“รบกวนเลิกแชร์คลิปหรือรูปที่ผมอยู่ในฐาน และในพื้นที่ ที่ผมยังปฏิบัติงานอยู่ หรือใครที่เอาไปลง ผมฝากลบด้วยครับ”
นอกจากนี้ยังเสริมว่า
“ทุกครั้งที่พี่ๆ น้องๆ ขอผมถ่ายรูป ผมไม่เคยปฏิเสธเลย และผมจะบอกตลอดว่าอย่าเอาลงโซเชียลนะครับ แต่ก็ยังหลุดไปตลอด ขอความร่วมมือด้วยครับ ขอบพระคุณครับ”
หมวดเบียงคือใคร? จากนายทหารหนุ่มสู่ “อินฟลูเอนเซอร์กองทัพบก”
“หมวดเบียง” ร.ต.รวิสุต ทองทิพย์ เป็นนายทหารหนุ่มที่ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยรบสำคัญของกองทัพบก แต่ในขณะเดียวกัน เขายังเป็น อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะ Instagram และ TikTok ที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์การฝึก การทำงานในเครื่องแบบ และแง่มุมชีวิตของนายทหารรุ่นใหม่
ภาพลักษณ์ของเขาถูกมองว่าเป็น “ทหารรุ่นใหม่ไฟแรง” ที่สามารถสื่อสารกับสังคมในเชิงบวก สร้างความเข้าใจในบทบาทของทหารยุคใหม่ และยังช่วยเชื่อมโยงระหว่างกองทัพกับประชาชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ทำไมถึงต้องขอความร่วมมือไม่ให้แชร์?
การที่หมวดเบียงออกมาโพสต์ขอความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากเรื่องเล็ก ๆ แต่สะท้อนถึง ความกังวลในหลายประเด็น ได้แก่
1. ความปลอดภัยของหน่วยและกำลังพล
การเผยแพร่ภาพหรือคลิปในพื้นที่ปฏิบัติการ อาจทำให้ข้อมูลสำคัญหลุดรอดไป เช่น ตำแหน่งของฐาน การวางกำลัง หรือรายละเอียดของยุทโธปกรณ์ ซึ่งอาจถูกนำไปใช้โดยผู้ไม่หวังดี
2. การปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยง
บางภารกิจของทหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนหรือพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง อาจต้องใช้ความลับเป็นหัวใจสำคัญ การที่มีภาพเผยแพร่สู่สาธารณะ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อการวางแผน
3. ภาพลักษณ์ของกองทัพ
แม้ภาพถ่ายกับประชาชนจะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากถูกนำไปเผยแพร่ในบริบทที่ไม่เหมาะสม เช่น ถูกตัดต่อหรือใช้เพื่อโจมตี อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของกองทัพบกในวงกว้าง
เส้นบาง ๆ ระหว่าง “อินฟลูเอนเซอร์” และ “นายทหาร”
กรณีของหมวดเบียงสะท้อนให้เห็นถึง ความท้าทายใหม่ของกองทัพบกในยุคดิจิทัล เพราะทหารรุ่นใหม่หลายคนมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลาย และบางคนก็มีชื่อเสียงจนกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์เต็มตัว
ข้อดี คือทำให้สังคมได้เห็นอีกมุมหนึ่งของทหาร ที่ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์แข็งกร้าว แต่ยังมีมิติของความเป็นมิตร ความตั้งใจ และความทุ่มเทต่อหน้าที่
ข้อเสีย คือเมื่อทหารเหล่านี้อยู่ในภารกิจจริง ภาพหรือข้อมูลที่ปรากฏบนโซเชียลอาจกลายเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจประเมินค่าได้
ดังนั้น การรักษาสมดุลระหว่าง “ความเป็นสาธารณะ” และ “ความลับทางทหาร” จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก
ปรากฏการณ์ “ทหารโซเชียล” ในกองทัพไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทัพไทยมีนายทหารและนายสิบจำนวนไม่น้อยที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายคลิปการฝึก การให้ความรู้ด้านความมั่นคง หรือแม้แต่การทำคอนเทนต์แนวไลฟ์สไตล์
“หมวดเบียง” เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่น เพราะสามารถสร้างฐานผู้ติดตามได้จำนวนมาก จนกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างและถูกเรียกขานว่าเป็น อินฟลูเอนเซอร์กองทัพบก
แต่เมื่อชื่อเสียงมาพร้อมกับความสนใจ ก็ทำให้ต้องเจอกับปัญหาที่ตามมา เช่น การถูกถ่ายภาพโดยไม่ทันตั้งตัว การถูกนำคลิปไปแชร์ต่อโดยไม่เหมาะสม หรือแม้กระทั่งการถูกสื่อใช้ภาพไปประกอบข่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต
ปฏิกิริยาในโลกออนไลน์
หลังจากโพสต์ของหมวดเบียงถูกเผยแพร่ออกมาในอินสตาแกรม ผู้ติดตามจำนวนมากต่างเข้ามาแสดงความเห็นด้วยความเข้าใจ หลายคนบอกว่า “เป็นสิ่งที่ควรให้ความร่วมมือ” เพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคง ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัว
บางส่วนยังยกตัวอย่างเคสในต่างประเทศ ที่ทหารถ่ายภาพแล้วแท็กพิกัดโดยไม่ตั้งใจ ส่งผลให้ตำแหน่งของฐานทัพรั่วไหลและก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรง จึงมองว่าคำขอร้องของหมวดเบียงครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องสำคัญในระดับความมั่นคงของชาติ
มิติด้านจิตวิทยาและสังคม
การที่หมวดเบียงออกมาโพสต์ขอความร่วมมือเช่นนี้ ยังสะท้อนถึง แรงกดดันทางจิตใจ ของทหารรุ่นใหม่ที่ต้องอยู่ระหว่าง “การเป็นข้าราชการในหน้าที่” และ “การเป็นบุคคลสาธารณะ”
เขายังกล่าวชัดเจนว่า “ทุกครั้งที่พี่ ๆ น้อง ๆ ขอถ่ายรูป ผมไม่เคยปฏิเสธ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขายังต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ภาพเหล่านั้นสร้างปัญหาย้อนกลับมาในภายหลัง
บทเรียนที่ควรนำไปปรับใช้
1. การให้ความรู้แก่ประชาชน
กองทัพควรประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนว่า การเผยแพร่ภาพทหารในพื้นที่ปฏิบัติการมีความเสี่ยงอย่างไร
2. นโยบายการใช้โซเชียลของกำลังพล
กำลังพลควรได้รับแนวทางที่ชัดเจนว่าอะไรควรหรือไม่ควรโพสต์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความลับรั่วไหล
3. ความร่วมมือระหว่างสังคมกับกองทัพ
ประชาชนควรเข้าใจว่าบางเรื่องอาจดูเหมือนเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของประเทศ
สรุป
กรณีของ “หมวดเบียง” อินฟลูเอนเซอร์กองทัพบกที่ออกมาโพสต์วอนประชาชนงดแชร์ภาพหรือคลิปในพื้นที่ปฏิบัติการ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ ความท้าทายในยุคดิจิทัล ที่กองทัพไทยต้องเผชิญ
มันไม่เพียงสะท้อนถึงความรักและความนิยมที่ประชาชนมีต่อตัวบุคคล แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญว่า ในโลกที่ข้อมูลถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว ความปลอดภัยและความลับทางทหารต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด
ท้ายที่สุด คำพูดของหมวดเบียงจึงไม่ใช่เพียงคำขอร้องส่วนตัว แต่คือการเตือนให้สังคมตระหนักว่า ทุกการแชร์มีผลต่อความมั่นคงของชาติ





















