ฮุน มาเนตโวย! ขอจีนห้ามไทยใช้กำลัง ปมพื้นที่พิพาท
ฮุน มาเนต ร้องขอจีนหนุนไทย–กัมพูชา หยุดใช้กำลังทหาร แก้ปัญหาพื้นที่พิพาทอย่างสันติผ่านกลไก JBC
สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ยังคงเป็นหนึ่งในประเด็นที่โลกจับตามองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณี พื้นที่พิพาทชายแดน ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้เด็ดขาด และมีความเสี่ยงที่จะปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในบางจังหวะ ล่าสุด สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ใช้เวทีการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization : SCO) ที่นครเทียนจิน ประเทศจีน เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสียงเรียกร้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ
ฮุน มาเนต ย้ำไทย–กัมพูชา ต้องยุติการใช้กำลัง
ในการหารือทวิภาคีกับ หวัง สู่หนิง ประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน ฮุน มาเนตได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาควรได้รับการแก้ไขด้วย สันติวิธี ไม่ใช่ด้วยกำลังทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ ซึ่งหากเกิดการปะทะกันแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจนำไปสู่ความสูญเสียและบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
เขาได้ขอให้จีนซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีบทบาทในเวทีโลก สนับสนุนให้ทั้งไทยและกัมพูชา งดเว้นการใช้กำลังทางทหาร และหันมาใช้กลไกทางการทูต รวมถึงกลไกชายแดนที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) เพื่อเป็นช่องทางแก้ปัญหาบนพื้นฐานของข้อตกลงทวิภาคี สนธิสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายสากล
บทบาทของจีน: ผู้สนับสนุนสันติภาพในภูมิภาค
จีนในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งกับไทยและกัมพูชา ได้ตอบรับเชิงบวก โดยหวัง สู่หนิง แสดงการสนับสนุนแนวคิดการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา พร้อมยืนยันบทบาทของจีนในการส่งเสริมเสถียรภาพภูมิภาค
นอกจากนี้ จีนยังเห็นชอบกับการที่ มาเลเซียเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ในประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา เพื่อไม่ให้ปัญหาบานปลาย และเป็นการแสดงให้เห็นว่าความร่วมมืออาเซียนและพันธมิตรในภูมิภาคยังคงมีบทบาทสำคัญในการจัดการข้อพิพาท
ย้อนมองความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา
ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่มีรากฐานมาจาก ประวัติศาสตร์และการตีความเขตแดน โดยเฉพาะกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งเคยเป็นประเด็นร้อนจนต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
แม้ศาลโลกจะมีคำตัดสินไปแล้ว แต่พื้นที่โดยรอบ รวมถึงจุดอื่น ๆ ตามแนวชายแดนยังคงมีความไม่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดและบางครั้งก็นำไปสู่การปะทะกันระหว่างทหารสองฝ่ายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
กลไก JBC: ความหวังของการแก้ปัญหาด้วยสันติ
คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) เป็นกลไกสำคัญที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อหาทางออกอย่างเป็นระบบในการแก้ไขปัญหาชายแดน โดยเน้นการเจรจา การสำรวจ การปักปันเขตแดนใหม่ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
ฮุน มาเนตย้ำว่า การแก้ปัญหาผ่าน JBC จะเป็นแนวทางที่ยั่งยืนที่สุด เพราะอาศัยหลักการสันติวิธี และยึดถือกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้กำลัง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นระหว่างสองประเทศให้ยั่งยืนในระยะยาว
มิติด้านความมั่นคงและพลเรือน
สิ่งที่ฮุน มาเนตให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ ชีวิตและความปลอดภัยของพลเรือน ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน พื้นที่พิพาทหลายแห่งมีชุมชนตั้งถิ่นฐานมานาน มีเกษตรกร ผู้ค้า และครอบครัวที่ดำรงชีพอยู่ หากเกิดความขัดแย้งทางทหารขึ้น จะทำให้ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อทันที
ดังนั้น การหลีกเลี่ยงการใช้กำลังจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ยังเป็น เรื่องสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม ที่ไม่อาจมองข้าม
บทบาทของอาเซียนและประชาคมโลก
นอกจากจีนและมาเลเซียแล้ว บทบาทของ อาเซียน ในฐานะองค์กรภูมิภาคก็เป็นที่จับตามอง เนื่องจากตามกฎบัตรอาเซียน เน้นย้ำให้ประเทศสมาชิกแก้ปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติ หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง และใช้กลไกที่มีอยู่ เช่น ASEAN Regional Forum (ARF) หรือกลไกการเจรจาทวิภาคี
ประชาคมโลกเองก็มีส่วนสำคัญ โดยหลายประเทศแสดงความกังวลว่า หากความขัดแย้งชายแดนปะทุขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค และบั่นทอนการลงทุนทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ไทย–กัมพูชา: เพื่อนบ้านที่แยกกันไม่ออก
แม้จะมีความตึงเครียดเรื่องชายแดน แต่ไทยและกัมพูชาก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในหลายมิติ ทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ของประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่มีการแลกเปลี่ยนกันอย่างต่อเนื่อง
ความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคมเหล่านี้เป็น “แรงดึงดูด” ที่ทำให้ทั้งสองประเทศต้องหันมาหารือและหาทางออกอย่างสันติ มากกว่าที่จะปล่อยให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงจนสร้างผลเสียที่ไม่มีใครต้องการ
บทสรุป: เสียงเรียกร้องของสันติภาพ
การที่ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเรียกร้องผ่านเวทีระดับนานาชาติอย่าง SCO และขอการสนับสนุนจากจีน แสดงให้เห็นว่า กัมพูชาเลือกเดินบนเส้นทางสันติภาพและการทูต มากกว่าการเผชิญหน้า
เสียงนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสารถึงไทย แต่ยังเป็นการส่งสารถึงประชาคมโลกว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการความมั่นคงและสันติ ไม่ใช่ความขัดแย้ง และการแก้ไขปัญหาพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาควรเดินไปข้างหน้าผ่านกลไก JBC และข้อตกลงทางกฎหมายที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน
ท้ายที่สุด หากไทยและกัมพูชาสามารถหาทางออกร่วมกันได้สำเร็จ ก็จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ที่ยังคงมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนค้างคาเช่นกัน

















