ดราม่าเดือด! อินฟลูฯมาเลย์เหยียดแรง เหน็บผู้ชายทำงานบ้านคือเกย์
ดราม่าระอุในมาเลเซีย! อินฟลูเอนเซอร์หนุ่มโพสต์ “ผู้ชายทำงานบ้านคือเกย์” ชาวเน็ตถล่มยับ มุมมองโบราณหรือแค่สร้างกระแส?
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมออนไลน์ของมาเลเซียแทบลุกเป็นไฟ เมื่ออินฟลูเอนเซอร์หนุ่มชื่อ สปีคเกอร์ (@dma_islam) ได้โพสต์ข้อความสุดโต่งบนแพลตฟอร์ม Threads ที่จุดชนวนให้เกิดกระแสถกเถียงอย่างกว้างขวาง ทั้งในมาเลเซียและโลกออนไลน์วงกว้าง โดยข้อความดังกล่าวระบุว่า
“ผู้ชายเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก = เป็นเกย์”
พร้อมทั้งขยายความไปถึงการโจมตีผู้ชายที่ช่วยเหลืองานบ้านว่าเป็น “คนขี้เกียจและขี้แพ้”
เนื้อหาที่สร้างความไม่พอใจ
โพสต์ดังกล่าวไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ แต่สปีคเกอร์ยังขยายความเชิงเปรียบเทียบ โดยระบุว่า
“คุณเคยเห็นราชาปัดกวาดขยะในวังของตัวเองหรือไม่?”
“ถ้าราชาต้องมาคอยทำความสะอาดขยะ เขาก็จะไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องสำคัญของประเทศ”
จากแนวคิดนี้ สปีคเกอร์จึงสรุปว่า “หน้าที่ของสามีคือการออกไปหาเงินและพิชิตโลก” ขณะที่ผู้ชายที่เลือกอยู่บ้าน ทำงานบ้าน หรือช่วยภรรยาดูแลลูก เป็นเพียง “คนขี้เกียจ” ที่ไม่กล้ารับผิดชอบงานหนักในชีวิตจริง
เขายังใช้ถ้อยคำที่รุนแรงถึงขั้น ตราหน้าผู้ชายเหล่านั้นว่าเป็น “พวกขี้แพ้” และ “พฤติกรรมแบบเกย์” ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากสังคม
โซเชียลถล่มยับ – ความคิดสุดโต่งและเห็นแก่ตัว
หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่บน Threads ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คำวิจารณ์จากชาวเน็ตจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายโจมตีสปีคเกอร์
ระบุว่าเป็นความคิดที่ล้าหลังและ “เห็นแก่ตัวสุด ๆ”
บางคนเขียนว่า “ถ้าผู้ชายไม่ช่วยงานบ้านเลย แล้วภรรยาต้องทำงานและดูแลลูกไปพร้อมกัน คุณคิดว่าเป็นธรรมจริงหรือ?”
หลายคนยังมองว่าความคิดเช่นนี้ตอกย้ำ ค่านิยมชายเป็นใหญ่ (patriarchy) และสร้างภาระอันหนักหน่วงให้ผู้หญิงโดยไม่ยุติธรรม
ฝ่ายเห็นต่างบางส่วน
แม้จะมีคนส่วนน้อยที่เห็นด้วยกับสปีคเกอร์ โดยมองว่า “ผู้ชายควรโฟกัสที่การทำงานนอกบ้าน” แต่เสียงเหล่านี้ก็ถูกกลบไปด้วยกระแสวิจารณ์อย่างท่วมท้น
อินฟลูเอนเซอร์สายสร้างดราม่า – “Rage-baiter” ตัวจริง
สิ่งที่หลายคนสังเกตคือ สปีคเกอร์ไม่ได้เพิ่งเคยสร้างดราม่าเป็นครั้งแรก เขามีชื่อเสียงอยู่แล้วในมาเลเซียว่าเป็น “Rage-baiter” หรือคนที่ชอบโพสต์ข้อความรุนแรงและสุดโต่งเพื่อจุดประเด็นให้ผู้คนโกรธ และเข้ามามีส่วนร่วมถกเถียง
ในประวัติบน Instagram ของเขาเอง ยังระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น “Misogynist” หรือ “ผู้ที่เกลียดผู้หญิง” ซึ่งสอดคล้องกับคอนเทนต์ที่เขามักเผยแพร่ เช่น
โพสต์ว่าผู้หญิงที่จริงจังกับอาชีพคือ “พวกโง่”
เหยียดรูปร่างคนอ้วน โดยบอกว่า “คนที่มีรูปร่างใหญ่จะไม่ได้รับความเคารพ”
ดูถูกการศึกษา โดยเขียนว่า “นิเทศศาสตร์เป็นสาขาที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในมาเลเซีย”
จากพฤติกรรมเหล่านี้ ชาวเน็ตจำนวนมากจึงไม่แปลกใจนักว่าทำไมเขาถึงเลือกใช้คำพูดแรง ๆ เพื่อสร้างกระแสครั้งใหม่
ความย้อนแย้งในประวัติของสปีคเกอร์
สิ่งที่ถูกหยิบยกมาล้อเลียนและเสียดสีอย่างหนัก คือข้อมูลบน LinkedIn ของสปีคเกอร์ ที่ระบุว่าเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษพร้อมการสื่อสาร (English with Communication)
ความรู้ด้านภาษาและการสื่อสารนี้ ทำให้หลายคนเชื่อว่า เขารู้สูตรสำเร็จของการสร้าง คอนเทนต์ไวรัล เป็นอย่างดี จึงเจตนาใช้ข้อความรุนแรงเพื่อดึงความสนใจ มากกว่าที่จะเป็น “ความเชื่อจริง ๆ” ของเขา
บางคนถึงกับคอมเมนต์ว่า
“เขาไม่ได้โง่ เขาแค่รู้ว่าควรโพสต์อะไรเพื่อให้ตัวเองดัง”
มุมมองทางสังคม – เมื่อค่านิยมเก่า ปะทะ ความเท่าเทียมใหม่
ดราม่าครั้งนี้สะท้อนความขัดแย้งที่ลึกกว่าการ “ทำงานบ้านหรือไม่ทำ” เพราะแท้จริงแล้ว มันคือการปะทะกันระหว่าง
ค่านิยมชายเป็นใหญ่ดั้งเดิม
ที่มองว่าผู้ชายต้องทำหน้าที่หาเงิน ดูแลภายนอกบ้าน ขณะที่งานบ้านเป็นของผู้หญิง
แนวคิดครอบครัวสมัยใหม่
ที่มองว่าการทำงานบ้าน การดูแลลูก ควรเป็น “ความรับผิดชอบร่วมกัน” เพราะทั้งพ่อและแม่ต่างก็มีสิทธิและภาระหน้าที่เท่าเทียมกัน
หลายคนยกงานวิจัยมาสนับสนุนว่า “สามีที่ช่วยภรรยาทำงานบ้านมีแนวโน้มครอบครัวอบอุ่นและลดความเครียดในบ้านได้มากกว่า” ซึ่งตรงข้ามกับมุมมองของสปีคเกอร์โดยสิ้นเชิง
การเมืองเรื่องเพศและอคติ
อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง คือการที่สปีคเกอร์ใช้คำว่า “เกย์” เป็นคำด่าผู้ชายที่ทำงานบ้าน ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าเป็น การสร้างอคติทางเพศ และเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม
หลายองค์กรสิทธิมนุษยชนในมาเลเซียออกมาเรียกร้องให้สังคมเลิกใช้เพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศเป็น “เครื่องมือดูถูก” เพราะจะทำให้เกิดการตีตรา (stigmatization) และทำร้ายกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศโดยไม่เป็นธรรม
สังคมควรเรียนรู้อะไรจากดราม่านี้?
1. การทำงานบ้านไม่ใช่เรื่องเพศ – เป็นหน้าที่ของทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน
2. โซเชียลมีเดียกระจายข้อความรวดเร็ว – คำพูดเพียงไม่กี่บรรทัดสามารถสร้างกระแสได้มหาศาล
3. อินฟลูเอนเซอร์บางคนใช้ “ดราม่า” เป็นเครื่องมือ – ผู้ติดตามควรรู้เท่าทัน ไม่ควรปล่อยให้ความคิดสุดโต่งสร้างอิทธิพลเกินจริง
4. การใช้คำเหยียดเพศเป็นสิ่งอันตราย – นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหา ยังสร้างบาดแผลให้สังคมมากขึ้น
สรุป
ดราม่า “ผู้ชายทำงานบ้านคือเกย์” ของสปีคเกอร์อินฟลูเอนเซอร์มาเลเซีย ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงความเห็นส่วนตัวที่สุดโต่ง แต่ยังเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนถึงวิธีการของ “Rage-baiter” ที่สร้างคอนเทนต์เพื่อเรียกความสนใจ
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมมาเลเซีย (และทั่วโลก) กำลังเดินหน้าไปสู่ความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น และไม่ยอมรับความคิดที่ลดทอนคุณค่าของใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือกลุ่มหลากหลายทางเพศ
ท้ายที่สุด สิ่งที่สังคมควรถกเถียงกันต่อไปอาจไม่ใช่ว่า “ใครควรทำงานบ้าน” แต่ควรเป็นคำถามว่า
“เราจะสร้างครอบครัวและสังคมที่เท่าเทียม เคารพซึ่งกันและกันได้อย่างไร?”










