กษัตริย์กัมพูชาเสด็จปักกิ่งตรวจพระวรกาย 'ฮุนเซน' เป็นผู้สำเร็จราชการแทน
ในข่าววันนี้ มีรายงานจากสำนักพระราชวังของกัมพูชาว่า สมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี กษัตริย์แห่งกัมพูชา ได้เสด็จไปกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เพื่อเข้ารับการตรวจพระวรกายตามกำหนดการประจำปี โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป การเดินทางครั้งนี้เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติที่กษัตริย์ทรงต้องได้รับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของพระราชภารกิจ ด้านการรักษาการในตำแหน่งประมุขแห่งรัฐระหว่างที่พระองค์ไม่อยู่ สำนักพระราชวังได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา ดำรงตำแหน่งผู้รักษาการชั่วคราว การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งระบุถึงการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อป้องกันการเกิดสุญญากาศทางสัญลักษณ์ของประเทศ และทำให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและราบรื่น
นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการถูกมอบให้กับสมเด็จฮุนเซน ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของกัมพูชา แม้ว่าท่านจะส่งต่อตำแหน่งผู้นำสูงสุดให้กับนายฮุน มาเนต บุตรชายไปแล้ว แต่บทบาทและอิทธิพลของสมเด็จฮุนเซนก็ยังคงเป็นที่ยอมรับและมีพลังอย่างมากในแวดวงการเมืองและสังคมกัมพูชาในฐานะประธานวุฒิสภา การดำรงตำแหน่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเมืองที่แข็งแกร่งและอำนาจที่ท่านยังคงมีอยู่ ซึ่งสามารถเข้ามาทำหน้าที่สำคัญของรัฐได้อย่างราบรื่นและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ทั้งนี้ ตำแหน่งกษัตริย์ของกัมพูชามีบทบาทหลักในฐานะประมุขแห่งรัฐเชิงสัญลักษณ์ ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจทางการเมืองโดยตรง แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจและความสามัคคีของคนในชาติ การแต่งตั้งผู้รักษาการจึงมีความสำคัญในแง่ของความต่อเนื่องทางสถาบันและความมั่นคงของประเทศ
การเสด็จพระราชดำเนินของสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ไปยังกรุงปักกิ่งในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การเดินทางเพื่อดูแลสุขภาพส่วนพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัมพูชาและจีนที่มีมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น การที่กษัตริย์เลือกปักกิ่งเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการตรวจพระวรกายก็เป็นการตอกย้ำถึงความผูกพันเชิงสถาบันระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ การที่สมเด็จฮุนเซนได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการก็แสดงให้เห็นถึงการถ่ายโอนอำนาจอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการภายในระบอบการปกครองของกัมพูชา ซึ่งถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำสูงสุดไปแล้ว แต่อำนาจที่แท้จริงและอิทธิพลที่สำคัญก็ยังคงอยู่ในมือของบุคคลที่มีประสบการณ์และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวยังให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนและธรรมเนียมการปฏิบัติของราชสำนักกัมพูชาในยามที่ประมุขแห่งรัฐไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจโครงสร้างและวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้


















