ทหารไทยสะท้อนใจ ฝากถึงช่อ พรรณิการ์ “ไม่มีใครอยากเป็นฮีโร่ขาขาด”
ดราม่าการเมืองร้อน! “ช่อ พรรณิการ์” วิจารณ์สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เจอทหารพรานโต้แรง “ไม่มีใครอยากเป็นฮีโร่บนซากแขนขา”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงในสังคมไทย เมื่อ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีตอนหนึ่งที่เธอกล่าวว่า
“มีคนไม่อยากให้สงครามจบ เพราะช่วงเวลาที่เกิดสงคราม คือเวลาที่ตนเป็นฮีโร่หรือไม่”
คำพูดดังกล่าวสร้างแรงสะเทือนในโลกออนไลน์และในหมู่ทหารอย่างมาก หลายฝ่ายมองว่าเป็นการ “ลดทอนคุณค่าของทหาร” ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้า ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเป็นสิทธิในการแสดงความคิดเห็นในมิติการเมือง
กระแสสังคม: คำพูดที่ถูกมองว่าบั่นทอนกำลังใจทหาร
ทันทีที่คลิปการพูดของน.ส.พรรณิการ์ถูกเผยแพร่ออกมา สังคมออนไลน์เกิดกระแส “เดือด” หลายคนตั้งคำถามว่า การวิจารณ์เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทหารไทยจำนวนมากกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความไม่สงบชายแดน
กลุ่มผู้สนับสนุนทหารมองว่า คำพูดของเธออาจเป็นการ “เหมารวม” และ “บั่นทอนกำลังใจ” ของผู้ที่เสียสละชีวิตและครอบครัวเพื่อปกป้องแผ่นดิน ขณะที่ผู้ที่เห็นด้วยกับน.ส.พรรณิการ์ มองว่า เธอเพียงต้องการสะท้อนให้เห็นว่า ในความขัดแย้งมักมีผู้ได้ประโยชน์บางกลุ่ม ซึ่งไม่จำเป็นต้องหมายถึงทหารโดยตรง
เสียงสะท้อนจากชายแดน: ทหารพรานโต้เดือด
สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้ยิ่งทวีความร้อนแรง คือการที่เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force” เผยแพร่คลิปวิดีโอของ ทหารพรานนาวิกโยธิน นายหนึ่ง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเขาได้ฝากข้อความถึงน.ส.พรรณิการ์อย่างตรงไปตรงมา
“ขอฝากถึงช่อ ไม่มีใครอยากเป็นฮีโร่ ไม่มีใครอยากมาขาขาด แขนขาด หรือเสียชีวิตจากครอบครัวไป… ที่พวกผมต้องทำ เพราะเพื่อปกป้องประชาธิปไตยและแผ่นดิน เพื่อให้ซ่อได้มานั่งพูด นั่งบ่นว่าทหารแบบนี้ ถ้าพวกผมไม่ทำ ใครจะทำ คุณซ่อมาทำไหมครับ”
ทหารพรานนายดังกล่าวยังกล่าวต่อว่า
“พวกผมต้องจากพ่อแม่ จากลูกเมียมา เพื่ออะไร? เพื่อแผ่นดินไทย ไม่มีใครอยากเป็นฮีโร่หรอกครับ มันจะเป็นฮีโร่ได้ยังไง ถ้าแขนขาด ขาขาด มันภูมิใจตรงไหน? ฮีโร่แบบนี้ทั้งชีวิตมันจะอยู่อย่างไร ฝากคุณช่อให้คิดใหม่”
ข้อความนี้ถูกแชร์ออกไปเป็นวงกว้าง จนมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่แสดงความเห็นใจทหาร และวิจารณ์ว่านักการเมืองควรระมัดระวังถ้อยคำที่อาจกระทบต่อขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่
การเมืองกับสนามรบ: สองโลกที่ปะทะกัน
กรณีนี้ไม่ใช่เพียงความเห็นต่างระหว่างบุคคลธรรมดา แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึง ความขัดแย้งเชิงสัญลักษณ์ ระหว่าง “นักการเมืองภาคพลเรือน” กับ “ทหารในสนามรบ”
ฝ่ายน.ส.พรรณิการ์ มองจากมุม การเมืองและผลประโยชน์ โดยตั้งคำถามว่า อาจมีคนบางกลุ่มที่ต้องการให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ เพื่อสร้างบทบาทของตน
ฝ่ายทหารในสนามรบ มองจากมุม ความเป็นจริงและการเสียสละ ที่ต้องเผชิญกับความตาย การบาดเจ็บ และการพลัดพรากจากครอบครัว
ทั้งสองมุมนี้มี “ความจริง” อยู่ในตัว แต่เมื่อถูกสื่อสารออกมาในพื้นที่สาธารณะ กลับกลายเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรง
ความรู้สึกของครอบครัวทหาร
อีกหนึ่งเสียงที่ไม่อาจมองข้ามคือความรู้สึกของครอบครัวทหาร หลายครอบครัวออกมาแสดงความเห็นว่า คำพูดของน.ส.พรรณิการ์เป็นสิ่งที่ฟังแล้ว “สะเทือนใจ” เพราะเบื้องหลังทหารทุกคนคือพ่อ แม่ สามี ภรรยา และลูก ๆ ที่รอคอยให้เขากลับบ้านอย่างปลอดภัย
สำหรับครอบครัวเหล่านี้ การเสียสละของทหารไม่ใช่การสร้างภาพ “ฮีโร่” แต่คือ หน้าที่ ที่ต้องทำเพื่อปกป้องประเทศ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเสี่ยงอันมหาศาล
วิเคราะห์เชิงการเมือง: สิทธิในการวิจารณ์ vs. ความเหมาะสม
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนถึง ความเปราะบางของการสื่อสารทางการเมือง
ในด้านหนึ่ง น.ส.พรรณิการ์มีสิทธิที่จะวิจารณ์หรือชี้ให้เห็นมิติทางการเมืองของสงคราม เพราะนี่คือ แก่นของประชาธิปไตย
แต่อีกด้านหนึ่ง การเลือกใช้ถ้อยคำที่อาจตีความได้ว่าเป็นการ “เหมารวม” หรือ “ลดคุณค่าทหาร” ย่อมสร้างแรงต้านมหาศาล โดยเฉพาะในบริบทที่สังคมไทยยังมีความอ่อนไหวเรื่องความมั่นคงและสถาบันทหาร
ดังนั้น สิ่งที่ควรถูกตั้งคำถามไม่ใช่เพียงว่า “ใครถูกใครผิด” แต่ควรเป็นว่า “จะสื่อสารอย่างไรให้เกิดการถกเถียงเชิงสร้างสรรค์ โดยไม่บั่นทอนอีกฝ่าย”
บทเรียนจากความขัดแย้ง
1. คำพูดนักการเมืองมีน้ำหนักสูง – ทุกถ้อยคำอาจกลายเป็นดาบสองคม หากสื่อสารไม่รอบคอบ
2. ทหารต้องการการยอมรับ – ไม่ใช่เพราะอยากเป็นฮีโร่ แต่เพราะพวกเขาเสียสละจริง
3. สังคมต้องการพื้นที่กลาง – ที่การวิจารณ์และการเสียสละสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่กลายเป็นการแบ่งขั้วสุดโต่ง
บทสรุป
กรณี “ช่อ พรรณิการ์” vs. ทหารพรานชายแดน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการปะทะทางวาทกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึง ความต่างของโลกการเมืองกับโลกความจริงในสนามรบ
ในขณะที่นักการเมืองอาจใช้คำพูดเพื่อสะท้อนภาพใหญ่ของสังคม แต่ทหารและครอบครัวของพวกเขากลับเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายในชีวิตประจำวัน















