เปิดเอกสารชัด! ที่ดินชายแดนไทย-กัมพูชา งานนี้เขมรอพยพถึงกับเงิบ
ปัญหาสืบเนื่องจากเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา : ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และความจริงที่ถูกบิดเบือน
ประเด็นปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงเป็นเรื่องร้อนแรงที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์การปะทะระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่ายในบางช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้เพียงสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ยังโยงไปสู่ประเด็นทางสังคม การเมือง และการรับรู้ของประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดน
สิ่งที่น่าจับตามองคือ “การใช้ประชาชนเป็นเกราะกำบังทางการเมือง” และการพยายามเบี่ยงเบนประเด็นผ่านการสื่อสาร โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่บางครั้งมีการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ซึ่งแท้จริงแล้วอยู่ในเขตแดนของไทยอย่างชัดเจน แต่กลับถูกเล่าในมุมที่ต่างออกไป เพื่อสร้างความเข้าใจผิดในระดับสาธารณะและนานาชาติ
ปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยและผู้ลี้ภัย : ต้นตอแห่งความเข้าใจผิด
หนึ่งในประเด็นที่ก่อให้เกิดความสับสนอย่างหนัก คือพื้นที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ที่ปัจจุบันมีชาวกัมพูชาบางกลุ่มอาศัยอยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนกลับไปถึง ช่วงสงครามเย็นและยุคเขมรแดง (ค.ศ. 1975–1979)
หลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงและกองทัพเวียดนามเข้ามามีบทบาทในกัมพูชา ชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาลที่หนีภัยสงคราม ความรุนแรง และการปราบปรามจากเขมรแดง ได้อพยพเข้ามายังประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนด้านสระแก้ว ซึ่งกลายเป็นเขตรองรับผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
ศูนย์อพยพชาวกัมพูชาในไทย
ในช่วงปี 2521–2528 ประเทศไทยภายใต้หลักมนุษยธรรม ได้ร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) และสภากาชาดสากล จัดตั้ง “ศูนย์อพยพ” เพื่อดูแลผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาที่หนีภัยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยมีการจัดสรรพื้นที่ที่ดิน อาหาร ยา และการคุ้มครองตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี ผู้ลี้ภัยบางส่วนที่ไม่ได้เดินทางกลับประเทศต้นทาง ได้ยึดพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยและทำกินถาวร หลายครอบครัวตั้งรกราก มีลูกหลานที่เกิดและเติบโตในฝั่งไทย ส่งผลให้เกิดความซับซ้อนทั้งทางกฎหมายและสังคม
การบิดเบือนข้อเท็จจริง : เมื่อผู้ลี้ภัยถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ประเด็นนี้ถูกหยิบมาเป็นเครื่องมือในเกมการเมืองหลายครั้ง โดยมีการอ้างว่า “ไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา” ทั้งที่ความจริงแล้ว พื้นที่ที่ถูกกล่าวถึงนั้นอยู่ภายในเขตแดนประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต มีเอกสารหลักฐานทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ แผนที่ และเอกสารทางกฎหมายระหว่างประเทศยืนยันอย่างชัดเจน
กรณีล่าสุด เพจ “กองทัพบก ทันกระแส” ได้เผยแพร่ข้อมูลตอบโต้หลังจากที่มีสื่อบางฝ่ายในกัมพูชาออกมาให้ข่าวว่า พื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยนั้นเป็นดินแดนกัมพูชา แต่ถูกไทยล้อมรั้วและอ้างสิทธิ์ ซึ่งในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตแดนของประเทศไทยตั้งแต่ต้น และที่ชาวกัมพูชาเข้ามาอาศัยได้เพราะได้รับอนุญาตให้อพยพในฐานะผู้ลี้ภัยในอดีต ไม่ใช่สิทธิการครอบครองถาวร
ย้อนมองประวัติศาสตร์ : ชาวกัมพูชาลี้ภัยในไทย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราต้องย้อนกลับไปในปี 2528 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญหลังสงครามเวียดนามจบลง สำนักข่าว AFP เคยบันทึกภาพและรายงานข่าวถึงการอพยพของชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่ทะลักเข้ามายังไทยผ่านอำเภออรัญประเทศ
ประเทศไทยในเวลานั้น แม้จะมีข้อกังวลด้านความมั่นคงและทรัพยากร แต่ก็ยึดหลักมนุษยธรรมในการช่วยเหลือ โดยจัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยขนาดใหญ่ เช่น ค่ายเขาอีด่าง ค่ายสระแก้ว และค่ายเขาตะกรุบ ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ในเขตไทย และดำเนินงานด้วยความร่วมมือจากองค์กรระหว่างประเทศ
เมื่อเวลาผ่านไป หลายครอบครัวไม่ได้เดินทางกลับกัมพูชา เนื่องจากยังมีความไม่มั่นคงทางการเมืองในบ้านเกิด ทำให้พวกเขายังคงตั้งรกรากอยู่ในฝั่งไทย และบางส่วนกลายเป็นชนชั้นแรงงานที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นในปัจจุบัน
ปัญหาที่ซ่อนอยู่ : ความทับซ้อนของสิทธิและพื้นที่
แม้ว่าจะเป็นการตั้งรกรากในเชิงมนุษยธรรม แต่เมื่อเวลาผ่านไปมากกว่า 40 ปี ความคลุมเครือในสถานะทางกฎหมายกลับกลายเป็นชนวนความขัดแย้งใหม่ เพราะเมื่อคนรุ่นใหม่ที่เกิดในพื้นที่เหล่านี้เติบโตขึ้น พวกเขามองว่าตนมีสิทธิในที่ดิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่ดินเหล่านี้ยังคงเป็นของไทย
จุดนี้เองที่กลายเป็นพื้นที่สีเทาให้ฝ่ายการเมืองบางกลุ่มของกัมพูชา ใช้เป็นเครื่องมือกดดันไทยผ่านการอ้างสิทธิ์ทางการทูตและการสื่อสาร ทั้งที่ข้อเท็จจริงชี้ชัดว่า การเข้ามาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากการอนุญาตให้ลี้ภัย ไม่ใช่การยกดินแดนให้
ความจริงที่ควรตระหนัก
สิ่งที่ประชาชนไทยควรเข้าใจคือ
1. พื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทบางส่วนไม่ใช่ดินแดนกัมพูชา แต่เป็นเขตแดนไทยที่เปิดให้ใช้เป็นค่ายผู้ลี้ภัยในอดีต
2. การอ้างสิทธิ์ของกัมพูชาในบางกรณีเกิดจากการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเมืองภายในประเทศของพวกเขาเอง
3. ไทยยึดหลักมนุษยธรรมมาโดยตลอด การให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดงเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนถึงบทบาทของไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่พร้อมช่วยเหลือ
4. บทเรียนจากอดีตควรถูกนำมาศึกษาและเผยแพร่ให้สังคมรับรู้ เพื่อป้องกันการถูกบิดเบือนข้อมูลในอนาคต
สรุป
ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ใช่เพียงเรื่องของเส้นแบ่งเขตแดน แต่ยังโยงไปถึงประวัติศาสตร์การอพยพของผู้ลี้ภัย การตั้งรกรากของประชาชน และการบิดเบือนข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
การเข้าใจข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ประชาชนไทยและกัมพูชาต่างมองเห็นความจริงร่วมกัน และหลีกเลี่ยงการตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่หวังผลประโยชน์จากความขัดแย้ง
ในท้ายที่สุด บทเรียนจากยุคเขมรแดงควรเตือนใจเราว่า มนุษยธรรมไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และความจริงควรถูกเปิดเผยเพื่อสร้างความเข้าใจอันถูกต้องระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน






















